วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

26 มิถุนายน วันสุนทรภู่ สุนทรภู่ หรือ พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีนามเดิมว่า ภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) และแม่ช้อย เกิดในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือนแปด ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาสองโมงเช้า ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าจากกันฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง จ.ระยองส่วนมารดา คงเป็นนางนมพระธิดา ในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่) ได้แต่งงาน มีสามีใหม่และมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คนเป็นหญิง ชื่อฉิมและนิ่ม ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สันทัดทั้งสักวาและเพลงยาว เมื่อรุ่นหนุ่มเกิดรักใคร่ชอบพอกับนาง ข้าหลวงในวังหลัง ชื่อแม่จัน ครั้นความทราบถึงกรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็กริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่ และจันไปจองจำทันที แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณที่จะมีการปล่อยนักโทษ เพื่ออุทิศ ส่วนพระ ราชกุศลแด่ พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ชั้นสูง เมื่อเสด็จสวรรคตหรือทิวงคตแล้ว แม้จะพ้นโทษ สุนทรภ ู่และจันก็ยังมิอาจสมหวังในรัก สุนทรภู่ถูกใช้ไปชลบุรี สุนทรภู่ได้เดินทางเลยไปถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัด ระยอง เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า ๒๐ ปี สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต กว่าจะกลับมากรุงเทพฯ ก็ล่วง ถึง เดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๓๔๙ หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ ์ พระโอรสองค์เล็กของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ในช่วงนี้ สุนทรภู่ก็สมหวังในรัก ได้แม่จันเป็นภรรยาสุนทรภู่คงเป็นคนเจ้าชู้ แต่งงานได้ไม่นานก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน ยังไม่ทันคืนดี สุนทรภู่ก็ต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา สุนทรภ ู่ได้แต่งนิราศ เรื่องที่สองขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือน ๓ ปี พ.ศ.๒๓๕๐ สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คน ชื่อหนูพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนักในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอกทองอยู่) ได้รับอุปการะหนูพัดไว ้ ชีวิตของท่านสุนทรภู่ช่วงนี้คงโศกเศร้ามิใช่น้อย ประวัติชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙ ก่อนเข้ารับราชการ ไม่ชัดแจ้ง แต่เชื่อว่าท่าน หนีความเศร้าออกไปเพชรบุรี ทำไร่ ทำนา อยู่กับหม่อมบุญนาค ในพระราชวังหลัง นักเลงกลอนอย่างท่านสุนทรภู่ ทำไร่ทำนาอยู่นานก็ชักเบื่อ ด้วยเลือดนัก กลอนทำให้ท่านกลับมากรุงเทพฯ หากินทางรับจ้างแต่งเพลงยาว บอกบทสักวา จนถึงบอก บทละคร นอก บางทีนิทานเรื่องแรกของ ท่านคงจะแต่งขึ้นในช่วงนี้ การที่เกิดมีนิทานเรื่องใหม่ๆ ทำให้เป็นที่สนใจมาก เพราะ สมัยนั้นมีแต่กลอนนิทานจักรๆ วงศ์ๆ ไม่กี่เรื่อง ซ้ำไปซ้ำมาจนคนอ่าน คนดูรู้เรื่องตลอดหมดแล้ว นิทานของ ท่านทำให้นายบุญยัง เจ้าของคณะละครนอกชื่อดัง ในสมัยนั้นมาติดต่อว่าจ้างสุนทรภู่ ท่านจึงได้ร่วมคณะละคร เป็นทั้งคนแต่งบทและบอกบทเดินทางเร่ร่อนไปกับคณะละครจนทั่ว รับราชการครั้งแรก ก็สมัยพระ พุทธเลิศ หล้านนภาลัย ที่ได้อาจจะมาจากมูลเหตูที่รัชกาลที่ 2 ชอบบทกลอนเหมือนกัน แต่หลังจากรัชกาลที่ 2 เสด็จ สวรรคต นอกจาก แผ่นดินและผืนฟ้าจะร่ำไห้ ไพร่ธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงสุด ในชีวิตได้เป็นถึง กวีที่ ปรึกษา ในราชสำนัก ก็หมดวาสนาไปด้วย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ถึง เหตุที่สุนทรภู่ ไม่กล้า รับราชการต่อใน แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ดังนี้ "เล่ากันว่า เมื่อทรงพระราชนิพนธ์ บทละคร เรื่องอิเหนา ทรงแต่งตอนนางบุษบาเล่นธาร เมื่อท้าว ดาหาไปใช้บน พระราชทานให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังดำรงพระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงแต่ง "เมื่อทรงแต่งแล้ว ถึงวันจะอ่านถวายตัว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งวานสุนทรภู่ ตรวจดูเสียก่อน สุนทรภู่อ่านแล้วกราบทูลว่า เห็นดีอยู่แล้ว ครั้นเสด็จออก เมื่อโปรดให้อ่านต่อหน้ากวีที่ทรง ปรึกษาพร้อมกัน ถึงบทแห่งหนึ่งว่า " 'น้ำใสไหลเย็นแลเห็นตัว ปลาแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว' "สุนทรภู่ติว่ายังไม่ดี ขอแก้เป็น " 'น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา ว่ายแหวกปทุมาอยู่ไหวไหว' "โปรดตามที่สุนทรภู่แก้ พอเสด็จขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็กริ้ว ดำรัสว่า เมื่อ ขอให้ตรวจทำไมจึงไม่แก้ไข แกล้งนิ่งเอาไปไว้ติหักหน้ากลางคัน เป็นเรื่องที่ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ครั้ง หนึ่ง "อีกครั้งหนึ่ง รับสั่งให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแต่งบทละครเรื่องสังข์ทอง ตอน ท้าว สามลจะให้ลูกสาวเลือกคู่ ทรงแต่งคำปรารภของท้าวสามลว่า " 'จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้ว สมมาด ปรารถนา' " ครั้นถึงเวลาอ่านถวาย สุนทรภู่ถามขึ้นว่า 'ลูกปรารถนาอะไร' พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องแก้ว่า " 'จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว ให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา' "ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ว่าแกล้งประมาทอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมึนตึงต่อสุนทรภู่มาจนตลอดรัชกาลที่ ๒ ... " จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เพียงคิดได้ด้วยเฉพาะหน้าตรงนั้นก็ตาม สุนทรภู่ก็ได้ทำการไม่เป็นที่พอ พระราชหฤทัย ประกอบกับความอาลัยเสียใจหนักหนา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่ จึงลาออกจากราชการ และตั้งใจบวชเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ เมื่อกลับจากกรุงเก่า พระสุนทรภู่ได้ไปจำพรรษาอยู่ท ี่วัดอรุณ ราชวรารามหรือวัดแจ้ง ปี พ.ศ.๒๓๗๒เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงฝากเจ้าฟ้ากลาง และเจ้าฟ้า ปิ๋ว พระโอรสองค์กลางและองค์น้อยให้เป็นศิษย์สุนทรภู่ การมีศิษย์ชั้นเจ้าฟ้าเช่นนี้จึงทำให้พระสุนทรภ ู่สุข สบาย ขึ้นพระสุนทรภู่อยู่วัดอรุณฯ ราว ๒ ปี จึงข้ามฟากมาจำพรรษาอยู่ท ี่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ เล่ากันถึงสาเหตุที่พระสุนทรภู่ย้ายวัดมา ก็เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงชัก ชวนให้มาอยู่ด้วยกัน สมเด็จฯ ทรงเป็นกวีองค์สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์หนึ่ง เชื่อว่าคงจะทรงคุ้นเคย กับสุนทรภู่ในฐานะที่เป็นกวีด้วยกัน โดยเฉพาะสมัยที่สุนทรภู่เป็นขุนสุนทรโวหารในรัชกาลที่ ๒ ชีพจรลงเท้า สุนทรภู่อีกครั้งเมื่อท่านเกิดไปสนใจเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและยาอายุวัฒนะ ถึงแก่อุตสาหะไปค้นหา ทำให้เกิดนิราศ วัดเจ้าฟ้า และนิราศสุพรรณปี พ.ศ.๒๓๘๓ สุนทรภู่มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ท่านอยู่ที่นี่ได้ ๓ พรรษา คืนหนึ่งเกิดฝันร้าย ว่าชะตาขาด จะถึงแก่ชีวิต จึงได้แต่งเรื่องรำพันพิลาป ซึ่งทำให้ทราบเรื่องราวในชีวิตของท่านอีกเป็นอันมาก จากนั้นจึงลาสิกขาบทเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ เพื่อเตรียมตัวจะตาย
เกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณ... งดอาหารมื้อเช้า? เอียน มาร์เบอร์ ที่ปรึกษาด้านโภชนาการจะมาตอบคำถามของคุณ Q เราต้องกินอาหารเช้าเป็นสิ่งแรกรึเปล่า? A ใช่ การกินตอนเช้ากระตุ้นระบบย่อยอาหารเพื่อให้สามารถดูดซึมอาหารและปล่อยของเสียและกระตุ้นพลังงานด้วย จัดเป็นอาหารมื้อสำคัญที่สุดของวัน Q แล้วถ้าพลาดอาหารเช้าจะส่งผลลบกับร่างกายฉันยังไง? A ก็นำไปสู่ระดับน้ำตาลขึ้นๆ ลงๆไม่คงที่ ทำให้คุณขาดพลังงานและพึ่งพาของว่างและคาเฟอีนเพื่อให้อยู่ได้ทั้งวันในระยะยาว อีกทั้งทำให้น้ำหนักขึ้น-เมื่อร่างกายรู้สึกถึงความหิวโหยก็เก็บอาหารเป็นไขมันแทนที่จะใช้เป็นพลังงาน Q อาหารเช้าที่ดีสุดพึงเลือกคืออะไร? A เลือกอาหารเช้าที่ปรุงง่าย ย่อยง่ายและให้โปรตีนกับคาร์โบไฮเดรต รวมถึงโยเกิร์ตใส่ เบอร์รี ถั่วและเครื่องดื่มไร้คาเฟอีน
มาบอกรัก..ด้วยดอกไม้กันเถอะ สัญชาติญาณบอกให้รู้ว่า ผู้หญิงชอบสิ่งสวยๆงามๆ เหตุนี้ ผู้หญิงจึงชอบดอกไม้เป็นชีวิตจิตใจและเธอจะประทับใจเป็นพิเศษ ถ้ามีใครมอบดอกไม้ให้โดยไม่คำนึงถึงโอกาสใดๆ ทั้งสิ้น เราจึงได้นำความหมายของดอกไม้แต่ละประเภทให้คู่รัก ซาบ ซึ้งเลยว่าดอกไม้แต่ละชนิดล้วนมีความหมายแตกต่างกัน เผื่อวันไหน นึกอยากส่งดอกไม้ไปให้ใคร จะได้รู้ว่าเราอยากบอกอะไรกับเขานะ คาร์เนชั่น - ชวนให้หลงใหล และรู้ตัวหรือเปล่าว่า มีเสน่ห์ดึงดูดดใจมากกว่าใครเพื่อน คาร์เนชั่นสีแดง - เห็นใจในความรักของฉันบ้างเหอะ คาร์เนชั่นสีชมพูหวาน - โปรดถนอมหัวใจรักฉันสักหน่อย เบญจมาศ - แค่เพื่อนกันก็พอ เดซี่ - รักอย่างซื่อสัตย์ กล้วยไม้ - ด้วยรัก และอยากชมว่าสวยจัง กุหลาบแดงและขาวรวมกัน - สองเราเป็นหนึ่งเดียว กุหลาบสีชมพู - คุณช่างงดงามและอ่อนโยนเหลือเกิน กุหลาบสีเหลือง - ความสุข สนุกสนาน เบิกบานใจ กุหลาบสีแดง - ช่างงามเหลือเกิน กุหลาบสีขาว > - ฉันรักเธอด้วยใจบริสุทธิ์ ทิวลิปสีแดง - อยากให้โลกเป็นพยานว่า "ฉันรักเธอ" ทิวลิปสีเหลือง - ฉันหมดหวังในรักของเธอแล้ว ทิวลิปหลากสีในช่อเดียวกัน - ดวงตาแสนสวยของเธอทำให้ฉันคลั่งไคล้ ลิลลี่ - รักของฉันอ่อนหวาน บริสุทธิ์และจริงใจ ดอกหญ้า > - ฉันรักเธอ แต่ขอเธออย่าผูกมัดฉันนะ บัว - รักด้วยแรงศรัทธาและชื่นชม ทานตะวัน - เธอแจ่มจรัสในใจฉันเสมอ แดฟโฟดิล > - เพื่อนรักที่แสนดีของฉัน ซ่อนกลิ่น - มีคนแอบรักเธออยู่นะ ไอวี่ - ในความรู้สึกของฉัน เธอเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น ไลแล็ค - รักครั้งแรก การ์ดิเนีย - รักที่รู้กันแค่ 2 เรา บาร์ซิซัส > - เธอรักตัวเองและหยิ่งจนฉันไม่กล้าจีบ แดนดีลอน > - ฉันคงเป็นเพียงดอกไม้ริมทางของเธอสินะ ไม้ไผ่ - ขอให้โชคดี เมื่อมอบดอกไม้แทนความในใจให้กันแล้ว บางทีหากคุณเปิดฉากพูดคุยกับ "คนที่หมาย ตา" บ้างสักประโยคสองประโยค เชื่อไหมว่า คำพูดเปิดทาง อาจก่อให้เกิดการกระทำที่จะ นำไปสู่อย่างอื่นได้อีก
10 ผลไม้ที่ควรกินตอนเช้า นาทีที่ 6.00 1. กล้วย กล้วยมีแร่ธาตุและวิตามินสูง อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลจากธรรมชาติที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที และคาร์โบไฮเดรตช่วยเติมพลังให้กับร่างกายแบบไม่ต้องพึ่งพาแป้งหรือน้ำตาลชนิดอื่น ๆ ขณะที่โพแทสเซียมในกล้วยก็ยังช่วยรักษาระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ ยังไม่นับรวมไฟเบอร์ที่พบได้ในผลไม้เกือบทุกชนิด 2. เกรปฟรุต ผลไม้อุดมไปด้วยวิตามินซีชนิดนี้ เหมาะจะเป็นผลไม้สำหรับมื้อเช้าเพื่อคนลดน้ำหนัก เพราะมีการศึกษาพบว่าการรับประทานเกรปฟรุตครึ่งผลก่อนรับประทานอาหารจะช่วยให้น้ำหนักลดลงไวกว่าปกติ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดได้ รวมทั้งระบบการเผาผลาญไขมันก็จะทำงานได้มากขึ้น ขณะที่วิตามินซีในเกรปฟรุตก็ยังทำหน้าที่สร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และความฉ่ำของเกรปฟรุตก็ยังช่วยเติมน้ำให้กับร่างกายไม่ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำในตอนเช้าด้วย แต่สำหรับใครที่อยู่ในช่วงการใช้ยาเพื่อรักษาอาการบางอย่าง ควรระมัดระวังไว้หน่อย เพราะสารอาหารที่อยู่ในเกรปฟรุตอาจมีผลข้างเคียงกับยา ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อเกรปฟรุตมารับประทาน 3. บลูเบอร์รี ไม่ว่าจะเป็นบลูเบอร์รีสดหรือแช่แข็ง ผลไม้ชนิดนี้ก็ยังคงมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่อย่างมากมาย โดยมีการศึกษาพบว่าคนที่รับประทานบลูเบอร์รีเป็นประจำจะมีความจำและทักษะการเคลื่อนไหวที่ดี ความดันโลหิตเป็นปกติ และระบบเผาผลาญของร่างกายก็จะทำงานดีตามไปด้วย นั่นก็เป็นเพราะสารแอนโธไซยานิน (Anthocyanin) ที่ในบลูเบอร์รี่นั่นเอง นอกจากนี้บลูเบอร์รียังมีแคลอรีต่ำ ช่วยลดน้ำหนักได้ 4. แตงโม แตงโม ผลไม้ฉ่ำน้ำชนิดนี้จะช่วยเติมความชุ่มฉ่ำให้กับคุณในยามเช้า อีกทั้งสารไลโคปีนที่อยู่ในแตงโม อันเป็นสารอาหารที่พบได้ในอาหารที่มีสีแดง ก็ยังช่วยในการมองเห็น บำรุงสุขภาพหัวใจ และป้องกันโรคมะเร็ง แถมยังมีแคลอรีต่ำ ไฟเบอร์สูง เหมาะจะเป็นอาหารเช้าสำหรับคนลดน้ำหนักอย่างที่สุด แต่ก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะไฟเบอร์ในแตงโมหากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้ถ่ายท้องได้ 5. สตรอว์เบอร์รี ผลไม้ในตระกูลเบอร์รีอีกชนิดที่อัดแน่นไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ การรับประทานสตรอว์เบอร์รีเพียง 1 ถ้วยก็ทำให้เราได้รับปริมาณวิตามินซีเทียบเท่ากับความต้องการต่อวัน โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องของแคลอรี ไม่เพียงเท่านั้น ในสตรอว์เบอร์รียังมีกรดโฟลิก และไฟเบอร์ซึ่งช่วยในระบบขับถ่าย แก้ปัญหาท้องผูก 6. แคนตาลูป หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบว่าแคนตาลูปเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี การรับประทานแคนตาลูป 1/4 ของผลก็ทำให้เราได้รับวิตามินซีในปริมาณเท่าความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน โดยให้พลังงานแค่ 50 แคลอรี นอกจากนี้ในแคนตาลูปก็ยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาและบำรุงผิวอีกด้วย 7. กีวี กีวี ไม่เพียงช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการแบบเน้น ๆ อาทิ วิตามินซี โพแทสเซียม ทองแดง และไฟเบอร์ที่มีสูงกว่ากล้วย จึงทำให้ผลไม้ชนิดนี้ดีกับสุขภาพอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย ทั้งท้องผูกหรือลำไส้แปรปรวน หากรับประทานกีวีอย่างน้อยวันละ 2 ผลเป็นประจำ จะช่วยให้อาการท้องผูกลดลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ 8. ราสเบอร์รี ราสเบอรีผลไม้ในตระกูลเบอร์รีนอกจากจะมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระที่มีเยอะทัดเทียมกับผลไม้ในกลุ่มเดียวกันแล้ว ยังมีไฟเบอร์ วิตามินซี และวิตามินเคที่ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง 9. ส้ม ส้มไม่ว่าจะรับประทานแบบสด ๆ หรือคั้นเป็นน้ำผลไม้ ส้มก็ยังคงอุดมไปด้วยคุณค่าอย่างมหาศาล เพราะไม่เพียงแค่วิตามินซีสูง แต่ยังมีวิตามินดีที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน โรคซึมเศร้า และโรคมะเร็งได้ด้วย ยังไม่รวมถึงไฟเบอร์ที่มีมากมายที่ช่วยลดอาการท้องผูก และทำให้อิ่มนานขึ้น แต่ก็ต้องระวังอย่ารับประทานเยอะจนเกินไป เพราะส้มเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลและแคลอรีสูง อย่างน้อยแค่เช้าละ 1 ผล หรือจะรับประทานเป็นน้ำส้มคั้นสดก็ดีเช่นกัน 10. แครนเบอร์รี แครนเบอร์รีเป็นผลไม้ที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ช่วยบำรุงระบบหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ในด้านการรักษาโรคมะเร็ง แครนเบอร์รียังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาที่ใช้การรักษาโรคมะเร็งรังไข่อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าสูงมากเลยทีเดียว แต่ทว่าเจ้าแครนเบอร์รีก็เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลและแคลอรีสูงเช่นกัน ดังนั้นจึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ จะได้ไม่กระทบถึงระดับน้ำตาลในเลือด
ขอชวนชิมลิ้มรส 10 ผลไม้วิตามินซีสูง ตามนี้เลย มะขามป้อม 1. มะขามป้อม ที่เขาว่ากันว่ามะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในโลกไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยค่ะ เพราะข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย ยืนยันมาว่า ในมะขามป้อมผลสด 100 กรัม จะมีวิตามินซีแฝงอยู่ถึง 276 มิลลิกรัม หรือถ้านำผลมะขามป้อมไปคั้นน้ำดื่มก็ยังมีวิตามินซีสูงกว่าน้ำส้มคั้นถึง 20 เท่า ด้วยสรรพคุณอย่างนี้ มะขามป้อมเลยมีฤทธิ์แก้หวัดได้ชะงัด แถมยังช่วยละลายเสมหะ แก้ไอได้ดีด้วย มะขามเทศ 2. มะขามเทศ นอกจากมะขามป้อมแล้ว มะขามเทศก็มีวิตามินซีสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของผลไม้ไทยเลยค่ะ และที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ มะขามเทศยังวิตามินอีด้วย ซึ่งปกติแล้ววิตามินอีมักไม่ค่อยพบในผลไม้เท่าไร แต่เมื่อเจ้ามะขามเทศมีทั้งวิตามินซีและอีมาประสานกัน ก็จะผนึกกำลังกันช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระอีกต่างหาก หรือถ้าใครมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย รีบหามะขามเทศมาทานได้เลย เพราะมะขามเทศมีเส้นใยมาก ช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้นแน่นอน ฝรั่ง 3. ฝรั่ง ถึงจะเป็นผลไม้รสฝาด แต่ขอบอกว่า ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมากเหมือนกัน โดยในเนื้อฝรั่งสด 100 กรัม (ประมาณ 1 ผลกลาง) จะมีวิตามินซีมากถึง 160 มิลลิกรัม ซึ่งเกินพอต่อความต้องการของร่างกายใน 1 วัน อย่างไรก็ตาม อย่าปอกเปลือกเชียว เพราะวิตามินซีอยู่ที่เปลือกนี่ล่ะ และควรกินฝรั่งที่เจริญเต็มที่และยังเป็นสีเขียวอยู่ เพราะวิตามินซีที่ผิวและเนื้อของฝรั่งจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อผลสุกค่ะ กีวี 4. กีวี เนื้อสีเขียวสดใสแสนอร่อยของกีวีมีวิตามินซีอยู่ไม่น้อยเลยนะ โดยกีวี 100 กรัมจะให้วิตามินซีประมาณ 105 มิลลิกรัม หรือถ้าเป็นกีวี 2 ผล ก็จะให้วิตามินซีประมาณ 137 มิลลิกรัม แถมยังมีกากใยมาก อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ทองแดง และโฟเลต แคลอรี่ก็ต่ำอีกต่างหาก เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักนะ ลิ้นจี่ 5. ลิ้นจี่ ผลไม้ฉ่ำน้ำรสเปรี้ยวอมหวานชนิดนี้ให้วิตามินซีถึง 71 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัมเชียวนะ เลยมีสรรพคุณช่วยบำรุงหลอดเลือด ป้องกันโรคกระดูกและฟัน แก้ไอเรื้อรัง แก้คัดจมูกได้ แต่ก็เตือนไว้ก่อนว่าอย่าทานมากเกินไป เพราะในเนื้อลิ้นจี่มีสารประกอบชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการร้อนในได้เหมือนกัน มะละกอ 6. มะละกอสุก เนื้อมะละกอสุก 100 กรัม มีวิตามินซีราว ๆ 70 มิลลิกรัม จึงช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟันได้ นอกจากนั้น มะละกอยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยปราบอาการท้องผูกได้ชะงัด อ้อ ! แนะนำว่าเวลาปอกเปลือกไม่ควรปอกหนาจนเกินไปนะคะ เพราะที่บริเวณเปลือกและใต้ผิวเปลือกมีสารไม่มีสีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอย่างยอดเยี่ยมสะสมอยู่ด้วย สตรอว์เบอร์รี 7. สตรอว์เบอร์รี ผลไม้สีแดงรสเปรี้ยวอมหวานชนิดนี้ เพียงกินแค่ 100 กรัม คุณจะได้รับวิตามินซีถึง 66 มิลลิกรัมเลยเชียว และสีแดงสดของสตรอว์เบอร์รีอุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพคติน ช่วยลดคอเลสเตอรอล อีกทั้งยังช่วยดูแลสุขภาพเหงือกและฟัน ดับกลิ่นปาก ขัดฟันให้ขาวด้วย แจ่มมาก เงาะ 8. เงาะ ไม่เคยคิดเลยนะเนี่ยว่า "เงาะ" ก็มีวิตามินซีเหมือนกัน แต่ขอบอกให้รู้ค่ะว่า เงาะ 100 กรัม จะให้วิตามินซีประมาณ 53 มิลลิกรัม ซึ่งสรรพคุณของเงาะก็เลิศไม่น้อย ช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปากได้ แก้อาการท้องร่วงชนิดรุนแรงได้ แต่มีข้อแม้ว่าอย่าทานเงาะมากเกินไปนะ เพราะเงาะมีสารแทนนินสูง กินมากไปอาจปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูกได้เหมือนกัน และไม่ควรรับประทานเม็ดด้วยค่ะ เพราะเม็ดของเงาะมีพิษ กินแล้วอาจคลื่นไส้อาเจียนได้ ส้มโอ 9. ส้มโอ ส้มโออร่อย ๆ ที่กินเป็นผลไม้ก็ได้ นำไปทำกับข้าวอย่าง ยำ สลัด ส้มตำก็อร่อย ให้วิตามินซีประมาณ 44 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม กินแล้วช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน แก้หวัด แก้ไอ ขับเสมหะ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง พูดไปก็ชักเปรี้ยวปากอยากทานส้มโอซะแล้ว พุทรา 10. พุทรา ปิดท้ายที่ผลไม้ไทย ๆ อย่าง พุทรา รสชาติฝาด ๆ เปรี้ยว ๆ นี่แหละให้วิตามินซีพอ ๆ กับส้มโอเลย สรรพคุณสุดเด็ดของพุทรานอกจากจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต่อต้านสารอนุมูลอิสระแล้ว ในพุทรายังมีเส้นใยอาหารมาก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น แถมกินแล้วอิ่มเร็วด้วย และมีการวิจัยพบว่า พุทรามีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาท ป้องกันอาการผนังเส้นเลือดแข็งตัว และช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับด้วยนะ และก็ไม่ใช่แค่ผลไม้เท่าที่เห็นนะคะ ยังมีผักผลไม้อีกหลายชนิดที่มีวิตามินซีสูงอย่างคาดไม่ถึง อย่าง มะรุม มีวิตามินซีสูงถึง 272 มิลลิกรัม พริกหวาน พริกแดง บรอกโคลี ก็ให้วิตามินซีหลักร้อยมิลลิกรัมเช่นกัน รู้แล้วก็ทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีกันให้มาก ๆ โดยเฉพาะสาว ๆ เพราะวิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ลดริ้วรอย คุณประโยชน์ดี ๆ แบบนี้หาได้จากธรรมชาติ ไม่เห็นต้องพึ่งอาหารเสริมเลยเนอะ
สิ่งที่เรามองไม่เห็น มีผู้หญิงคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ ทำให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง และเธอก็เจ็บปวดกับการสูญเสียการมองเห็น แต่สามีเธอก็พยายาม ปลอบใจ และให้กำลังใจเธอตลอด พยายามสอนให้เธอใช้การรู้สึกให้มากขึ้น ที่ทำงานของเธอกับสามีอยู่คนละทาง แต่เขาก็ขับรถไปส่ง และไปรับอยู่เสมอ จนวันหนึ่งสามีเธอรู้สึกเหนื่อยล้ามาก เขาจึงพูดกับเธอว่าให้เธอลองพยายามขึ้นรถเมล์ไปทำงานเอง โดยที่เขาไม่ต้องไปรับไปส่งได้ใหม นาทีนั้น เธอรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว และน้อยใจสามีเธอ แต่เธอก็พยายามทำตามที่เขาขอ เธอพยายามขึ้นรถเมล์เอง พยายามไปทำงานด้วยตัวเอง จนในที่สุดเธอก็สามารถทำได้ วันหนึ่งก่อนที่เธอจะลงรถไปทำงานตามปกติ คนขับรถเมล์ก็เข้ามาจับแขนเธอและพูดกับเธอว่า ผมช่างอิจฉาคุณผู้หญิงจริงๆครับ เธอก็เลยถามว่า อิจฉาเธอเรื่องอะไร คนขับรถเมล์ก็เลยบอกว่า… สามเดือนที่ผ่านมา ผมจะเห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งเขาจะขึ้นรถเมล์ตอนเช้า มานั่งตรงเบาะหลังคุณ เฝ้าดูคุณด้วยความห่วงใย และตามคุณลงรถไป และเฝ้าดูคุณเดินเข้าไปที่ทำงานอย่างห่วงใย และตอนเย็นทุกๆเย็นเขาก็จะมาเฝ้ารอดูคุณขึ้นรถ และคอยดูคุณจนคุณลงรถ พอเธอได้ยินดังนั้น… เธอก็น้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน และสำนึกผิด เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยทิ้งเธอไปไหน เขายังอยู่ดูแลเธออย่างใกล้ชิด เขาเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่เขาต้องคอยมารับมาส่งเธอซะอีก เธอหวนนึกถึงคำพูดเขาที่บ่นลอยๆ ออกมาบ่อยๆ ว่า ชีวิตคนไม่แน่นอน อาจตายวันนี้ พรุ่งนี้ ได้ทุกเมื่อเลยนะ ดูอย่างคุณสิ เมื่อวานยังมองเห็นวันนี้คุณมองไม่เห็นแล้ว เธอคิดน้อยใจเขามาตลอด 3 เดือน ที่คิดว่าเขาเบื่อ รำคาญการเป็นคนตาบอดของเธอ ณ วันนี้เธอรู้แล้วว่า เขากลัวว่าวันนี้พรุ่งนี้เขาจะตายไป แล้วเธอจะไม่สามารถไปไหนมาไหนหรือมีชีวิตอยู่เองได้ถ้าขาดเขา

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การรักษาโรคหวัดทีดี คือนอกจากทานยาแล้ว ยังต้องดูแลตนเองให้ถูกสุขลักษณะ เลือกอาหารที่มีสารอาหารในการป้องกันหวัดช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ดังอาหาร 9 ชนิดที่เรารวบรวมมาให้นี้ค่ะ 1. ซุบไก่ร้อนๆ ไม่น่าเชื่อว่าอาหารยอดนิยมที่ทุกชาติใช้ต้านหวัดคือ ซุปไก่ ซึ่งว่ากันว่าใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 นั่นเลย ตามรายงานวิจัยพบว่าซุปไก่มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่า นิวโทรฟิลด์ ไปยังเนื้อเยื่อปอด ทำให้ลดกระบวนการอักเสบในปอด และลดอาการไอได้ โดยตำรับซุปไก่ที่ใช้ศึกษาประกอบด้วย ไก่ มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง ก้านขึ้นฉ่าย ผักชี แครอท หัวผักกาด เกลือ และพริกไทย นอกจากนั้นซุปไก่ที่รวมถึง ต้มยำไก่ แกงไก่ ยังมีสมุนไพรที่ช่วยต้านหวัดรวมอยู่อีกหลายชนิด 2. อาหารรสเผ็ด อาหารที่ช่วยให้จมูกโล่ง หายคัดจมูก ก็คืออาหารรสเผ็ดร้อนที่มีพริกเป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า พริกแห้ง รวมไปถึงพริกไทย และสมุนไพรรสเผ็ดร้อนอื่น ๆ เราสามารถกินเผ็ดอย่างเอร็ดอร่อยและหลากหลายในอาหารหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น พริกขี้หนูในต้มยำ พริกชี้ฟ้าในผัดเผ็ด พริกไทยในแกงเลียง พริกแห้งในลาบ หรืออาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรรสเผ็ดร้อนต่าง ๆ เช่น ขิง กะเพรา โหระพา เป็นต้น ripe garlic fruits with green parsley leaves 3. กระเทียม กระเทียม นั้นเป็นยาดีช่วยลดอาการหวัดได้ เมื่อมีอาการหวัด ให้นำกระเทียม 1 กลีบเล็กมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วใช้ช้อนบี้ให้แตก เติมน้ำร้อนลงไป 1 ถ้วย ปิดฝาทิ้งไว้ 5 นาที จากนั้นเติมน้ำผึ้ง และมะนาวเล็กน้อย ดื่มวันละ 2 ถ้วย จะช่วยบรรเทาอาการได้ เมื่อหายแล้วให้ดื่มต่ออีกสัก 3 วัน วันละ 1 ถ้วย หรือถ้าติดใจจะดื่มเป็นประจำก็ได้ เพราะกระเทียมจะช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัดได้อย่างดี นักวิจัยชาวจีน ดร.เบนจามิน เลา แห่งมหาวิทยาลัยโลมาลินดาในแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษายารักษาโรคตามแบบแพทย์ตะวันออกมานาน ได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า “กระเทียม” มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ ซึ่งออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสหวัดได้โดยตรง และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ 4. ดื่มน้ำมากๆ ผู้ป่วยควรดื่มน้ำมาก ๆ เวลาที่เป็นหวัด แต่ไม่ควรดื่มน้ำเย็นซึ่งจะทำให้เจ็บคอและไอมากขึ้น ควรจิบน้ำอุ่นหรือน้ำสมุนไพรอุ่น ๆ ตลอดเวลา เช่น น้ำตะไคร้ น้ำมะตูม น้ำใบเตย น้ำเก๊กฮวย จะช่วยให้ชุ่มคอ บรรเทาอาการไอ และละลายเสมหะ การจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ ร่วมกับการรักษาความสะอาดภายในช่องปาก จะช่วยให้อาการเจ็บคอทุเลาและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วย iStock_000017142662_Small 5. ผลไม้ตระกูลส้ม ผลไม้ตระกูลส้มนั้นจะมีวิตามินซีสูง โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่หรืออยู่ในแวดวงคนสูบบุหรี่ บุหรี่เพิ่มความเสี่ยงการเป็นหวัดและทำให้ร่างกายต้องการวิตามินซีสูงขึ้น วิตามินซีป้องกันหวัดได้ ถ้ารู้ตัวว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ติดหวัด เป็นหวัดง่าย ก็ต้องกินผักและผลไม้ให้วิตามินซีมากๆ เช่น ส้ม มะละกอสุก มะม่วง ฝรั่ง สับปะรด ส้มโอ ชมพู่ พุทรา มะขาม แตงโม ฯลฯ 6. ขิง ขิงช่วยขับเหงื่อ มีฤทธิ์ แก้หวัด เย็น (หวัดเย็น คือรู้สึกหนาว มีไข้ต่ำ ไม่ค่อยมีเหงื่อออก มีเสมหะมักเหลวใส) และยังช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด และข้ออักเสบได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจอีกด้วย ช่วงฝนพรำ สภาพอากาศเปลี่ยนและชื้น ๆ แบบนี้ เมื่อเริ่มจะรู้สึกเซื่อง ๆ เฉื่อยชา หนาว ๆ มีน้ำมูกใสไหลจี๊ด ๆ หรือเริ่มมีเสมหะ ก็อย่าได้ชะล่าใจ ขอให้รีบต้มน้ำขิงดื่มเลย 7. น้ำผักผลไม้สด ผักผลไม้ในกลุ่มที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบตาแคโรทีน (วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี จะช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น สามารถเลือกตามที่ชอบและนำมาปั่นทานกันได้เลย เน้นว่าควรเป็นผักและผลไม้สด เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระกันแบบเต็ม ๆ หรือถ้าไม่อยากเสียเวลาปั่น ก็ทานผลไม้สด ๆ ก็ได้ 8. ชาร้อน ชาร้อนทุกชนิดล้วนมีสารโพลิฟีนนอล สารแอนติออกซีเดนต์ในพืชที่ช่วยลดอาการติดเชื้อ ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกชุ่มชื้น หายใจสะดวก ควรชงชาในน้ำร้อนตั้งทิ้งไว้ราว 1 นาที จะดึงคุณสม
“Thailand Dream Destination กาลครั้งหนึ่ง..ต้องไป” คัดสรรที่เที่ยวสุดงดงาม ราวกับจุดหมายในจินตนาการ ที่จะทำให้คุณหลงรักประเทศไทยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จึงขอพาไปสัมผัสประสบการณ์สุดอัศจรรย์ทั้ง 10 แห่งซึ่งเชื่อว่าจะสร้างความประทับใจ และทำให้ตะลึง! ในความอลังการไปพร้อมกัน… 10 ที่เที่ยวในฝัน ของเมืองไทย ! Thailand Dream Destination PHOTO18_4-6 พบกับ 10 เส้นทางสู่ความฝัน จาก 5 ภูมิภาคของไทย แต่ละที่ล้วนน่าสนใจ ชวนให้ไปสัมผัสอย่างยิ่ง ซึ่งแต่ละเส้นทางท่องเที่ยวในฝันจะมีที่ใดบ้าง ลองมาติดตามกันเลย! BU213 เส้นทาง ภาคเหนือ 1. อลังการสีสันแห่งผาสิริมงคล (พระธาตุผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์) 2. ป่าสนสลับสี (ป่าสน โครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่) NK319 เส้นทาง ภาคอีสาน 3. ป่าห่มศรัทธา (วัดป่าภูก้อน จ.อุดรธานี) 4. เกล็ดพญานาคริมโขง (เกล็ดพญานาค อ.สังคม จ.หนองคาย) CL506 เส้นทาง ภาคกลาง / ตะวันตก 5. สะพานเมฆ (เขาช้างเผือก จ.กาญจนบุรี) 6. ทะเลหมอกใกล้กรุง (เขาพะเนินทุ่ง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี) T703 เส้นทาง ภาคตะวันออก 7. ถนนชล-จันท์ (ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต จ.ชลบุรี – ระยอง – จันทบุรี – ตราด) 8. หมู่เกาะสุดแดนบูรพา (หมู่เกาะทะเลตราด จ.ตราด) OLYMPUS DIGITAL CAMERA เส้นทาง ภาคใต้ 9. สระว่ายน้ำกลางทะเล (เกาะห้อง จ.กระบี่) 10. สวรรค์ของคนมีความรัก (เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล) เส้นทางที่ 1 : วัดแก้วสารพัดนึก พระธาตุผาซ่อนแก้ว อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ “อลังการความศักดิ์สิทธิ์ โอบล้อมท่ามกลางทะเลแห่งขุนเขา” T101 พระธาตุผาซ่อนแก้ว ถูกสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ความโดดเด่นอลังการที่ไม่เหมือนใคร นอกจากทิวทัศน์สวยๆของทะเล ภูเขารายรอบ และทะเลหมอกสีขาว ก็คือสีสันสดใสอันเกิดจากการนำกระเบื้องสี ถ้วยชามเบญจรงค์ มุก ลูกปัด แก้ว แหวน เงินทอง สิ่งมีค่าต่างๆ ตลอดจนเซรามิคหลากสีสัน มาประดับประดาตกแต่งเป็นลวดลายที่สวยงาม เมื่อยามต้องแสงแดด ทั่วทั้งอาณาบริเวณจะสะท้อนประกายงดงาม ราวกับวัดบนสรวงสวรรค์ เป็นสถานที่อันสวยงามและศักดิ์สิทธิ์ ควรค่าแก่การไปเยือน T103 คำว่า ผาซ่อนแก้ว เป็นชื่อยอดเขาที่ได้มาจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ซึ่งมองเห็นลูกแก้วลอยลงมาจากฟ้า ก่อนลับหายไปบริเวณถ้ำที่ยอดเขา กลายเป็นความเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จลงมา และต่อมาก็เป็นที่ตั้งของ “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ก่อนจะเปลี่ยนเป็น วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว วัดแสนสวยแห่ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ NK105 – วัดเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00น. – 17.00 น. – ช่วงเวลาเย็น ทั่วทั้งบริเวณวัดจะสะท้อนแสงระยิบระยับเป็นภาพที่สวยงาม – ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม หรือดูคอร์สปฏิบัติธรรมได้ที่ www.phasornkaew.org การเดินทาง จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 21 ผ่าน จ.สระบุรี และ จ.ลพบุรี จากนั้นเลี้ยวซ้ายสู่ทางหลวงหมายเลข 12 บริเวณแยกอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง ขับตรงไปเรื่อยๆ ทางที่จะไปแยกแคมป์สน มีจุดสังเกตคือ อบต. แคมป์สนอยู่ขวามือ ขับตรงไปกลับรถ ทางเข้าวัดจะอยู่บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านทางแดงข้างๆ อบต. แคมป์สน เส้นทางที่ 2 : ป่าสนสลับสี โครงการหลวงวัดจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ “ในฤดูหนาว สายลมคล้ายดั่งพู่กันธรรมชาติ แต่งแต้มป่าสนให้เต็มไปด้วยสีสัน” BU213 เมื่อลมหนาวเดินทางมาถึง ป่าสนของ อ.กัลยาณิวัฒนา อำเภอลำดับ 878 ของประเทศไทย จะเริ่มผลัดใบรับฤดูหนาว เปลี่ยนสีเขียวของป่าที่ได้รับน้ำตลอดฤดูฝนให้เป็นสีสันตระการตา ไล่สีตั้งแต่เหลืองและน้ำตาลของต้นสนแดงและส้มของต้นเมเปิล ภาพที่เห็นคล้ายผืนผ้าใบไร้ขอบเขต ที่ถูกละเลงสีด้วยพู่กันธรรมชาติ และความที่แต่ละต้นมีการไล่ลำดับสีแตกต่างกัน ยิ่งทำให้ความสวยงามของเฉดสียิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ สนสองใบและสนสามใบของที่นี่ เป็นป่าสนธรรมชาติผืนใหญ่ที่สุดของประเทศไทย BU205 จากหมู่บ้านที่ต้องเผชิญความลำบาก ก่อนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงโปรดเกล้าให้พัฒนาจนกลายเป็น “โครงการหลวงหมู่บ้านวัดจันทร์” เพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของราษฏร กระทั่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมนติกในปัจจุบัน ไฮไลต์สำคัญคือสัมผัสความอลังการของป่าสนใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเพลิดเพลินกับหลากสีสันของใบไม้งามตามธรรมชาติ เช่น ใบเมเปิ้ลสีแดงส้ม ที่พร้อมใจผลัดใบในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ของทุกปี ใกล้กันมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่หากมาเยือนในยามเช้า จะได้ยลสายหมอกแห่งความหนาวจับกลุ่มลอยฟุ้งเหนือผิวน้ำ ปกคลุมทิวสนจนกลายเป็นวิวสุดงดงาม และยังมีจักรยานให้ปั่นดื่มด่ำอากาศบริสุทธิ์, เดินศึกษาป่าสน หรือคลุกคลีไมตรีจิตจากชาวบ้านปากะญอได้ตามอัธยาศัย CL202 – ฤดูหนาวเป็นช่วงที่ป่ามีสีสันสวยงามที่สุด – ที่นี่มีเส้นทางปั่นจักรยานที่สวยมาก ใครมียกใส่รถไปได้เลย การเดินทาง จากเชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่ อ.แม่ริม เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1095 ที่มุ่งหน้าสู่ อ.ปาย ก่อนเข้า อ.ปาย ประมาณ 13 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายเข้าถนน หมายเลข 1265 ไปอีกประมาณ 40 กิโลเมตร ทางค่อนข้างคดเคี้ยวแต่เป็นถนนลาดยางตลอดทาง มีรถโดยสารสองแถวสีเหลือง (เชียงใหม่-สะเมิง-วัดจันทร์) ทุกวันจากสถานีขนส่งช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ หรือสามารถเลือกต่อรถจาก อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน แต่ควรตรวจสอบเวลารถก่อนเดินทาง เส้นทางที่ 3 : ป่าห่มศรัทธา วัดป่าภูก้อน อ.นายูง จ.อุดรธานี “อารามพิทักษ์ผืนป่า พลังศรัทธาแห่งสีเขียว” NK322 ศาสนสถานที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา และความสวยงามของสถาปัตยกรรมของวัดป่าภูก้อนแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขา ที่รายล้อมด้วยผืนป่าเขียวขจีกว่า 3,000 ไร่ ซึ่งจุดเริ่มต้นในการสร้างวัด คือ ความมุ่งหมายที่จะรักษาธรรมชาติของป่าอันสมบูรณ์ และแหล่งต้นน้ำลำธารอันอุดมสมบูรณ์เอาไว้จากการถูกบุกรุกทำลาย จนกลายเป็นทิวทัศน์ระดับ Unseen Thailand NK319 ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี” ที่สร้างเนื่องในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ พระพุทธรูปปางไสยาสน์แนวนอนความยาวกว่า 20 เมตร ที่ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 6 ปี และเต็มไปด้วยตำนานเล่าขาน ตั้งแต่การได้มาของหินอ่อนขาวบริสุทธิ์จากประเทศอิตาลี ซึ่งนำมาใช้เป็นส่วนของเศียรพระ รวมถึงงานแกะสลักอันวิจิตรตระการตาราวกับมีชีวิต จากนั้นแวะขึ้นไปกราบนมัสการ “องค์พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์” เจดีย์ที่ชั้นบนสุดเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บริเวณวัดเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม ที่นอกจากจะเย็นใจในการได้เดินทางมาเยือนดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา ยังเย็นตาไปกับงานก่อสร้างอันสวยงามอลังการ ร่วมสัมผัสความสุขในดินแดนพุทธศาสนาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย จากหัวใจสีเขียว ที่เปลี่ยนป่าผืนสุดท้ายแห่งอีสานตอนบน ให้กลายเป็นวัดพิทักษ์ป่าอันเขียวขจี NK312 – วัดป่าภูก้อนอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูงและป่าน้ำโสม บนรอยต่อของ 3 จังหวัด คือ อุดรธานี เลย และ หนองคาย การเดินทางสามารถมาได้จากหลายเส้นทาง – ถ้าอยากถ่ายภาพวัดในมุมสูง สามารถทำได้ด้วยการเดินป่าสู่จุดชมวิวบนหุบเขาด้านบน ซึ่งต้องติดต่อคนนำทางก่อน การเดินทาง จ.อุดรธานี อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 564 กิโลเมตร สามารถเดินทางได้ทั้งทาง รถยนต์ส่วนตัว รถทัวร์ รถไฟ หรือ เครื่องบิน หากใช้รถโดยสารสาธารณะ เลือกทางที่จะไป อ.นายูง ซึ่งอยู่ห่างจากวัดประมาณ 8 กิโลเมตร แล้วต่อรถรับจ้างเข้าวัดป่าภูก้อนอีกต่อหนึ่ง เส้นทางที่ 4 : เกล็ดพญานาคริมโขง อ.สังคม จ.หนองคาย “เมื่อสายน้ำลดระดับ ริ้วรอยแห่งธรรมชาติจะถูกเปิดเผย และร่องรอยแห่งศรัทธาจะปรากฎ” NK416 อัศจรรย์ธรรมชาติแห่งลำน้ำโขง ปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ ที่เพิ่งถูกค้นพบในภาคอีสาน บริเวณริมแม่น้ำโขงเกิดริ้วทรายขนาดใหญ่ดูคล้ายลายเกล็ดพญานาคตวัดตัวโค้งเลื้อยผ่าน ถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ในท่าทราย ของหมู่บ้านปากโสม อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย จนกลายเป็นเประเด็น Talk of The Town สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งเฉลยแห่งรอยปริศนา แท้จริงเกิดจากลอนคลื่นในแม่น้ำโขง พัดพาเอาทรายและตะกอนมาทับถมตรงจุดนี้ เมื่อถึงช่วงน้ำลดจนเห็นทรายแห้งเผือด ลมก็จะปัดเป่าเอาโคลนออกไป เหลือไว้เพียงลวดลายงดงามที่ดูน่าค้นหาดังเช่นปัจจุบัน หากใครอยากมาชมให้เห็นกับตา ต้องมาในช่วงฤดูหนาว-ฤดูแล้ง (ช่วงน้ำลด) โดยแนะนำให้ขับรถขึ้นไปที่วัดผาตากเสื้อ และใช้กล้องส่องลงมาที่หาดทรายก็จะเห็น “ริ้วทรายเกล็ดพญานาค” ได้อย่างชัดเจน NK418 อย่างไรก็ตาม ความสวยงามนี้กลับถูกซ่อนไว้ใต้ผืนน้ำ เพื่อรอเวลาอันเหมาะสมที่จะเผยโฉมในยามที่น้ำเริ่มลดลวดลายเหล่านั้นจึงค่อยปรากฏขึ้นแก่สายตา ซึ่งหากได้จากภาพมุมสูงก็จะยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจน นับเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยนัก การที่ได้ฉายาว่าเมือง “นาคานคร” ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเช่นนี้ จึงยิ่งตอกย้ำความเชื่อของผู้คนทั้ง 2 ฟากฝั่ง ให้ยิ่งแน่นแฟ้น แม้หลายสิ่งจะเป็นเพียงเรื่องเล่าเก่าแก่ แต่เมื่อผนวกความสวยงามของสถานที่ ความเชื่อและตำนานศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ยิ่งทำให้เกล็ดพญานาคริมฝั่งโขงแห่ง อ.สังคม ควรค่าที่จะไปดูให้เห็นกับตาแม้เพียงสักครั้ง NK417 – ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะไปชม ควรไปช่วงฤดูหนาว หรือฤดูร้อน (ช่วงน้ำลด) – ถ้าอยากได้ภาพมุมกว้างที่มองเห็นทั้งเกล็ดพญานาค วิวแม่น้ำโขง และทัศนียภาพของประเทศไทยและลาว ให้ขึ้นไปจุดชมวิวบริเวณวัดผาตกเสื้อ การเดินทาง หนองคายสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ ได้หลายวิธี ทั้งรถประจำทาง รถไฟ หรือเลือกนั่งเครื่องบินไปลงอุดรธานีโดย อ.สังคม อยู่ห่างจาก อ.เมืองหนองคาย ประมาณ 95 กิโลเมตร ต้องต่อรถประจำทางท้องถิ่นหรือเหมารถสองแถวอีกต่อหนึ่ง เส้นทางที่ 5 : เขาช้างเผือก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี “เหมือนปลายเท้าเหยียบอยู่บนพื้น แต่ร่างกายล่องลอยอยู่บนฟ้า” CL506 เคยฝันไหม..ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต จะขึ้นไปบนท้องฟ้า สามารถสัมผัสและเหยียบเมฆได้? วันนี้จะเป็นความจริง เมื่อไปเยือน “เขาช้างเผือก” ยอดเขาสูงสุดกว่า 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ผืนป่าที่ยังรักษาความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี CL505 สิ่งท้าทายสำหรับนักท่องเที่ยว “ใจถึง” คือ การไต่พิชิตยอดเขาช้างเผือก ด้วยระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่นิยมการผจญภัย และมีร่างกายที่แข็งแรง เพราะต้องบากบั่นในเส้นทางลาดชัด ปีนข้ามเขาหลายลูก พร้อมเผชิญหน้า “สันคมมีด” สันหินแคบราว 1 เมตร ที่สองข้างทางเป็นผาลาด แต่รางวัลเมื่อถึงเส้นชัยช่างคุ้มค่า นั่นคือทัศนียภาพแสนงดงาม ของเขื่อนวชิราลงกรณ์ วิวฟากฝั่งประเทศพม่า รวมถึงสีครามของท้องทะเลอันดามัน คลอเคลียก้อนเมฆและสายหมอก ที่จะทำให้คุณประทับใจจนลืมเหนื่อย! CL504 – ช่วงเวลาที่เหมาะสมไปได้ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ – อุทยานฯ จำกัดนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนยอดเขาช้างเผือก จำนวน 60 – 80 คน/วัน – ค่าบริการลูกหาบคนละ 900 บาท (จำนวนลูกหาบที่ใช้ ขึ้นอยู่กับจำนวนสัมภาระของแต่ละคณะ) – ค่าบริการเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่เป็นผู้นำทางคนละ 900 บาท – เปิดให้ท่องเที่ยวประมาณช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศของแต่ละปี – นักท่องเที่ยวควรมีการเตรียมความพร้อมร่างกายให้แข็งแรง ควรเตรียมหมวก เสื้อแขนยาว แว่นกันแดด ไฟฉาย ของใช้ส่วนตัว และอุปกรณ์การเดินทางที่เหมาะสม – สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ โทร 034-532-114, 081-382-0359 และททท. สำนักงานกาญจนบุรี โทร 034-512-001 , 034-512-500 การเดินทาง จากกาญจนบุรีใช้ทางหลวงหมายเลข 323 สายกาญจนบุรี-ทองผาภูมิ ถึงตลาดอำเภอทองผาภูมิ ระยะทางประมาณ 141 กิโลเมตร จากอำเภอทองผาภูมิ ใช้เส้นทางหมายเลข 3272 สายทองผาภูมิ-บ้านไร่-ปิล๊อก ถึงสามแยกบ้านไร่ให้เลี้ยวซ้ายไป จนถึงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 24-25 เส้นทางที่ 6 : ภูลวงตา พะเนินทุ่ง อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี “ทะเลหมอกแห่งผืนป่าตะวันตก ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติใกล้กรุงฯ” CL606 หากเอ่ยถึง “ทะเลหมอก” ส่วนใหญ่ทุกคนคงนึกถึงทะเลหมอกภาคเหนือ แต่ยังมีทะเลหมอกอีกหนึ่งแห่ง ที่ไม่ไกลมากนักจากกรุงเทพฯ คุณก็จะได้เห็นทะเลหมอกที่มีให้ชมตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อน โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงภาคเหนือเพราะที่ “เขาพะเนินทุ่ง” ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,207 เมตร มีให้ยลโฉมตลอดทั้งปี CL605 ซึ่งเกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและต้นไม้ ที่พร้อมใจกันคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา จนกลายเป็นทะเลหมอกหนาตา ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกันอย่างเต็มที่ ในช่วงเช้าจะมองเห็นกลุ่มควันแห่งความหนาวสีขาวนวลปกคลุมทั่วหุบเขา เมื่อเริ่มจางลง บริเวณเบื้องล่างจะปรากฏภาพป่าดงดิบอันแสนชุกชุม มีเทือกเขาสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดตาอยู่ด้านหลัง โดยจุดชมทะเลหมอกจะมีอยู่ 2 แห่ง คือ จุดชมวิวกิโลเมตรที่ 30 และ 36 สำหรับช่วงที่ทะเลหมอกถูกยอมรับว่างดงาม รวมถึงมีอากาศเย็นสบายที่สุด คือตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป นอกจากนี้ยังสามารถชื่นชมดอกไม้แปลกตา และมีโอกาสพบสัตว์หายากนานาชนิดได้ตลอดเวลา เช่น นกเงือก ค้างแว่นถิ่นใต้ พญากระรอกดำ ไก่ฟ้า ไก่ป่า เป็นต้น CL604 – อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้กำหนดปิดพื้นที่ท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ตั้งแต่บริเวณด่านสามยอด – บ้านกร่างแคมป์ – เขาพะเนินทุ่ง ในวันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ตุลาคม และจะเปิดอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายนของทุกปี – กำหนดเวลาขึ้น–ลงเขาพะเนินทุ่ง วันละ 2 รอบ ดังนี้ เวลาขึ้น ช่วงเช้าเวลา 05.30- 07.30 น. ช่วงบ่ายเวลา 13.00 – 15.00 น. เวลาลง ช่วงเช้าเวลา 09.00 – 10.00 น. ช่วงบ่ายเวลา 16.00 – 17.00 น. – จองพื้นที่กางเต็นท์ www.dnp.go.th – ติดต่อเช่ารถขึ้นเขาพะเนินทุ่งและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โทร. 032-459293 – สอบถามข้อมูลโรงแรม/ที่พัก นอกที่ทำการอุทยานที่ททท.สำนักงานเพชรบุรี โทร.032-471005-6 www.เที่ยวภาคกลาง.com การเดินทาง จากกรุงเทพ ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) ผ่าน จ.สมุทรสงคราม – สมุทรสาคร ถึง แยกวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่านแยกเข้าตัวเมืองเพชรบุรี ถึงสามแยกท่ายาง (กม.183-184) เลี้ยวเข้าถนน 3187 ผ่าน อ.ท่ายางและเลียบคลองชลประทาน ระยะทางประมาณ 7 กม. ถึงเขื่อนเพชรใช้เส้นทาง 3499 ระยะทางประมาณ 30 กม. ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จากที่ทำการอุทยานฯ ถึงบ้านกร่างแคมป์ ระยะทาง 35 กม. และต่อไปอีก 15 กม.ถึงเขาพะเนินทุ่ง เส้นทางที่ 7 : ถนนชล-จันท์ เส้นทางเฉลิมบูรพาชลทิต จ.ชลบุรี – ระยอง – จันทบุรี – ตราด “ชิวอารมณ์ไปกับภูเขา ท้องฟ้า และสายน้ำ ผ่านถนนเลียบทะเลที่ยาวที่สุดในประเทศไทย” T703 ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ขับรถเพลินๆ ไปบนถนนที่ด้านหนึ่งเป็นภูเขาและอีกด้านเป็นทะเลเป็นแน่ ถนนที่ชมวิวได้อย่างต่อเนื่องสายนี้ มีจุดเริ่มตั้งแต่ จ.ชลบุรี ผ่าน จ.ระยอง จ.จันทบุรี ไปจนถึง จ.ตราด เป็นเส้นทางที่เรียกได้ว่ามีทัศนียภาพที่สวยงามที่สุดในภาคตะวันออก มาชวนเพื่อนครอบครัว หรือคนรัก เปิดหน้าต่างฟังเสียงคลื่น สัมผัสกลิ่นไอทะเลในอารมณ์ “Scenic Route” บน “ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต” NK707 ไม่น่าแปลกใจที่ถูกขนานนามว่า “Scenic Route” หรือ “เส้นทางชมวิวสุดงดงาม” สำหรับถนนเฉลิมบูรพาชลทิต ที่ตั้งอยู่เลียบชายหาดทะเลจังหวัดจันทบุรี จุดเด่นคือทัศนียภาพที่สวยงาม บรรยากาศร่มรื่น มีเลนส์เฉพาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการปั่นจักรยาน โดยตลอดเส้นทางจะมีแหล่งท่องเที่ยว และสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่ง ซึ่งจุดเริ่มต้นของเส้นทาง “Scenic Route” สตาร์ทตั้งแต่ อ่าวคุ้งวิมาน เส้นทางคดเคี้ยวเลียบเลาะภูเขาและทะเลรูปตัวเอส (s) เมื่อขับตรงไปจะพบกับ จุดชมวิวเนินนางพญา เนินเขาเล็กๆ ที่สามารถขึ้นไปชมความอลังการของเสน่ห์ท้องทะเลอ่าวคุ้งวิมานได้ รวมถึงอีกหนึ่ง Hi-light สำคัญที่ห้ามพลาดโดยเฉพาะคู่รัก คือการนำแม่กุญแจ 2 ลูกไปล็อคคู่กัน ตามความเชื่อที่ว่าจะรักกันยืนยาวตลอดไป จากนั้นขับออกมาทางเดิมจะผ่าน ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้หลงใหลในสิ่งแวดล้อม กับเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และสวยงาม DSCF2466 – ควรตรวจสภาพรถให้พร้อมก่อนเดินทาง – ตลอดเส้นทางมีจุดแวะพักมากมาย ควรวางแผนการเดินทางและเผื่อเวลาไว้สำหรับการแวะเที่ยวชม การเดินทาง ถนนสายนี้เริ่มตั้งแต่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ไปยังแยกทางหลวงหมายเลข 3161 (สุขุมวิท – อ่าวไข่) จ.ระยอง เลียบชายฝั่งทะเลตะวันออกไปเรื่อยๆ และสุดทางที่บ้านแหลมสิงห์ จ.จันทบุรี รวมระยะทางทั้งหมด 111 กิโลเมตร เส้นทางที่ 8 : หมู่เกาะอินดี้ หมู่เกาะทะเลตราด “หมู่เกาะแผ่นดินตะวันออก ที่จะเปลี่ยนวันหยุด ให้เป็นมากกว่าที่เคย” BU808 ‡°“–™È“ß ตราด สวรรค์ของคนรักธรรมชาติ พร้อมแล้วที่จะให้คุณได้ไปสัมผัสโลกของทะเลตะวันออกที่สวยงามไม่แพ้ฝั่งอันดามันพบกับสีเขียวมรกตของท้องทะเล สีฟ้าของท้องฟ้าปนเมฆจางๆ ที่ตัดกับสีสันของชุดว่ายน้ำของนักท่องเที่ยว พร้อมเกาะน่าเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกาะช้าง เกาะกูด เกาะหมาก เกาะกระดาน เกาะขาม ฯลฯ ให้คุณเลือกว่าอยากไปชิวที่ไหน Bird's-eye view image of Elephant Island, Trat น้ำทะเลใสราวกระจก ตัดสลับท้องฟ้าสีฟ้าคราม เพลิดเพลินกับสิ่งมีชีวิตใต้มหาสมุทร คือ เสน่ห์ทะเลฝั่งตะวันออกในจังหวัดตราด เมืองเกาะครึ่งร้อยที่หลายคนอยากมาเยือน ไล่ตั้งแต่เกาะกูด เกาะที่ The New york Times จัดให้เป็น 1 ใน 31 สถานที่ควรไปเยือน โดยเฉพาะบริเวณหาดคลองเจ้า มีหาดทรายเนียนละเอียดที่สุดบนเกาะกูด รวมถึงป่าชายเลนเขียวครึ้มทอดเป็นแนวยาวสุดสายตา จากนั้นไปเกาะหมาก เพื่อดำน้ำชมประติมากรรมช้างใต้ทะเลจากฝีมือของศิลปินแห่งชาติชื่อดัง ที่มีให้เลือกชมถึง 9 ตัว ต่อด้วยการสวมสน็อกเกิล เสื้อชูชีพ แล้วกระโดดลงไปดำผุดดำว่ายชมปะการังน้ำตื้น เห็นปลานานาชนิดว่ายไปมาอยู่รอบตัว ใต้ท้องทะเลอ่าวไทยสุดตื่นตาตื่นใจที่หมู่เกาะรัง นอกจากนี้ยังมีเกาะอื่นๆ อีกมากมาย เช่น เกาะกูด, เกาะผี, เกาะกระดาด ที่สร้างความประทับใจได้ไม่แพ้กัน ไม่เพียงแต่ท้องฟ้าและทะเล หมู่เกาะทะเลตราดยังมีกิจกรรมให้เลือกทำอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชมฝูงปลาที่ เกาะกระดาด ดูปะการังตามแนวหินภูเขาไฟที่เกาะขาม หรือปั่นจักรยานชมวิถีชีวิตอันเรียบง่าย ดื่มด่ำความสวยงามของธรรมชาติ นั่งมองทะเลยามกลางวัน มองดวงดาวยามค่ำคืน จากนั้นเปิดหัวใจคุณได้สัมผัสความสุขที่หมู่เกาะแผ่นดินตะวันออกรอมอบให้ T803 – เกาะหมากมีสวนยางพาราให้เที่ยวชมวิถีท้องถิ่นของชาวบ้าน และเกาะกูดมีน้ำตกให้ไปนอนเล่น – ควรดูสัญญาณโทรศัพท์ดีๆ เพราะบางแห่งจะกลายเป็นสัญญาณของประเทศกัมพูชา หากใครเปิดระบบอัตโนมัติไว้ ระวังจะเจอค่าโทรแบบ international ซึ่งมีราคาสูง – ที่เกาะช้างมีบริการ Dinner Cruise ที่นั่งเรือพายพาชมหิ่งห้อยยามค่ำ โรแมนติกมากสำหรับคู่รัก ติดต่อได้ที่ชมรมนำเที่ยวพื้นบ้านสลักคอก การเดินทาง รถส่วนตัวสามารถเลือกไปได้หลายเส้นทางสู่ จ.ตราด ทั้งทางหลวงหมายเลข 3 (สุขุมวิท) หรือ 34 (บางนา-บางปะกง) นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารประจำทาง และสามารถต่อรถไปถึงท่าเรือได้อย่างสะดวกสบาย เส้นทางที่ 9 : สระว่ายน้ำกลางทะเล เกาะห้อง จ.กระบี่ “ดีกว่าไหม…ถ้าสระว่ายน้ำของคุณจะล้อมรอบด้วยผืนทรายและขอบฟ้า” PHOTO18_4-6 หากใครได้มาลอยคอไปกับความสวยใสของสระว่ายน้ำสีมรกตของเกาะห้อง ก็แทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปได้ไม่ยาก ลากูนกลางทะเลแห่งนี้ รายล้อมด้วยผาหินปูนเรียงรายที่โอบล้อมน้ำทะเลใสแจ๋วไว้ จนเหมือนเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวที่ไม่มีคลอรีน มีก็แต่สระน้ำใสๆ ที่ขอบสระเป็นหาดทรายขาว แถมด้วยปลาทะเลฝูงใหญ่ที่คอยเวียนว่ายอยู่เป็นเพื่อนไม่ให้เหงา T903 ผาชันที่ตั้งอยู่รายรอบเกาะ เสมือนผนังที่ห้อมล้อมทะเลน้ำใสไว้กึ่งกลาง จนเกาะห้อง จ.กระบี่ ถูกขนานนามอีกชื่อหนึ่งว่า อ่าวลากูนหรือทะเลใน ซึ่งถือเป็นเกาะที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก โดยเฉพาะน้ำทะเลสีคราม จุดเด่นของเกาะห้องอยู่ที่ “อ่าวบิเละ” หาดทรายขาวละเอียดนุ่มเท้าลักษณะโค้งเป็นรูปนกบิน มีฝูงปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายให้เห็นอยู่ทั่วไปห่างจากชายหาดลงไปในทะเลมีกัลปังหาและปะการังหลากชนิด เหมาะแก่การลงเล่นน้ำ และถือว่าเป็นแหล่งพายเรือคายัค แหล่งดำน้ำ ดูปะการังน้ำตื้นที่สวยงาม จนครั้งหนึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 เกาะ ที่มีหาดน่าเที่ยวและสะอาดที่สุดในโลก! PHOTO18_4-8 – บนเกาะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานฯ มีร้านเครื่องดื่ม ขนม สุขา – ฤดูกาลท่องเที่ยวที่เหมาะสม คือ ช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน (ช่วงเดือน มิ.ย. – ต.ค. เป็นช่วงฤดูมรสุม ไม่เหมาะในการมาเที่ยว) การเดินทาง มีเรือเร็วที่อ่าวนาง หรือหาเรือได้ที่ท่าเทียบเรือท่าเลน และท่าเรือที่หาดนพรัตน์ธารา แต่ขอแนะนำให้ซื้อแพ็คเกจแบบครึ่งวัน หรือเต็มวันไปจะสะดวกกว่า ซึ่งส่วนมากจะรวมเรื่องอาหารและเครื่องดื่มและเกาะอื่นๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เส้นทางที่ 10 : สวรรค์ของคนมีรัก เกาะหลีเป๊ะ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา จ.สตูล “ฟ้าใส ทรายขาว ทะเลสีมรกต เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะละลายหัวใจนักเดินทาง”’ OLYMPUS DIGITAL CAMERA “มัลดีฟส์” ทะเลในฝันของใครหลายคนในโลก ทั้งความใสกิ๊งของน้ำทะเล บวกธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์จากปะการังรอบเกาะ มีเวิ้งอ่าวที่สวยงาม หาดทรายละเอียดนิ่มเหมือนแป้ง แต่เชื่อไหมว่าทั้งหมดนี้ก็มีอยู่ในบ้านเรา! มัลดีฟส์เมืองไทย สมญาของเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล สวรรค์แห่งท้องทะเลอันดามัน OLYMPUS DIGITAL CAMERA “หลีเป๊ะ” มาจากภาษาชาวเล “อูรักลาโว้ย” แปลว่า กระดาษ เป็นภาษาของชนกลุ่มแรกที่มาตั้งถิ่นฐานที่นี่ ตั้งชื่อจากลักษณะภูมิประเทศของเกาะที่แบนราบ และมีความยาวจากหัวเกาะไปยังท้ายเกาะเพียงแค่ประมาณ 3 กิโลเมตร แต่ว่าเป็น 3 กิโลเมตร แห่งความโรแมนติก ที่จะสะกดลมหายใจของใครหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้มากับคนรัก จูงมือกันดำน้ำที่ร่องน้ำจาบัง เป็นการดำน้ำตื้นที่สามารถชมปะการังน้ำลึกได้ แวะอ่าวลิงที่เต็มไปด้วยกองทัพปูเสฉวน ชื่นชมความงามหาดพัทยา หาดชาวเล ดูความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติของเกาะหินงาม แล้วแวะหาเครื่องดื่มเย็นๆ อาหารทะเลสดๆ ที่ถนนคนเดิน นั่งชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สะท้อนกับชายหาด ปิดท้ายก่อนกลับด้วยการไปลอดซุ้มประตูหินบนเกาะไข่ ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้ครองคู่กันอย่างมีความสุข เท่านี้ก็ทำให้เกาะหลีเป๊ะกลายเป็นสวรรค์ของคนมีความรัก NK1010 – เนื่องจากที่พักบนเกาะต้องปั่นไฟฟ้าใช้ ดังนั้นควรตรวจสอบกับที่พักแต่ละแห่งว่า เปิด-ปิด ไฟเวลาเท่าใด – อาหารบนเกาะค่อนข้างมีราคาแพงหากพกอะไรติดตัวไปได้ จะช่วยให้ประหยัดขึ้น
คนแจวเรือจ้างกับนักศึกษา มีนักศึกษาผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง ได้ทำการว่าจ้างเรือแจวให้พาข้ามฟาก ในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดูมืดครึ้ม และลมเริ่มพัดจนน้ำเกิด เป็นระลอกคลื่นเล็กๆ เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้าๆ จนเมื่อเรือได้เข้าสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกราด คนแจวเรือจึงต้องใช้ความ อย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก ส่วนฝ่ายนักศึกษานั้นกำลังนั่งก้มหน้าหนังสือเล่มใหญ่อยู่ จนในที่สุดนักศึกษาก็ได้เงยหน้าขึ้นมาจากตำราแล้วมองไปยังคนแจวเรือ “ลุงๆเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์บ้างไหม?” นักศึกษาเอ่ยถามขึ้น “ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือจ้างตอบด้วยนำ้เสียงที่แผ่วเบา “ถ้างั้นลุงก็พลาดโอกาสเสียแล้วหละ ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่าน มีเรื่องของกษัตริย์และราชินีในสมัยอดีต รวมถึงเรื่องของสงคราม การต่อสู้ ทำให้เราสามารถรู้ว่าคนในสมัยโบราณ ใช้ชีวิตกันแบบไหน แต่งกายกันอย่างไร ประวัติศาสตร์จะบอกให้ได้รู้ถึงความเจริญและความเสื่อมลงของชนชาติต่างๆ ทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?” “ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ” คนแจวเรือตอบ คนแจวเรือก็ยังคงแจวเรือต่อไป ส่วนนักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น ผ่านไปสักครู่หนึ่ง นักศึกษาก็เอ่ยถามคนแจวเรือขึ้นอีก ”ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?” “ไม่เคยเลยครับ” “ภูมิศาสตร์ เป็นวิชาที่สอนให้เราได้รู้จักกับโลกและประเทศต่างๆ และยังรวมถึงกระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝน นะลุง วิชาภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?” “ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือตอบ นักศึกษาส่ายหน้า “ถ้าไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงก็เหมือนไม่มีค่าอะไรเลย” “วิทยาศาสตร์ละลุง เคยอ่านบ้างรึเปล่า” “ไม่เคยอีกแหละคุณ” “ลุงเนี่ยนะเป็นคนยังไงกันแน่? วิทยาศาสตร์ที่ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่างๆ ลุงรู้มั้ยความก้าวหน้าของคนเราในทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรงเลยนะ นักวิทยาศาสตร์เป็นคนที่สำคัญอย่างมากในโลกนี้เลยก็ว่าได้ แต่นี่อะไรลุงกลับไม่รู้เรื่องพวกนี้เอาเสียเลย ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเสียเหลือเกิน” นักศึกษาปิดตำราของเขา และนั่งเงียบไม่พูดอะไรขึ้นอีก ในช่วงเวลานั้นก้อนเมฆสีดำได้แผ่ขยายและปกคลุมเต็มไปทั่วทั้งท้องฟ้า ลมเริ่มพัดแรงขึ้น มีฟ้าแลบแปลบปลาบ เป็นเหตุบอกว่าพายุกำลังจะมา และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกกว่าครึ่งซึ่งไกลมากกว่าจะถึงฝั่ง คนแจวเรือแหงนขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่น ”ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาถึงเราในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?” นักศึกษาพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจกลัว “ว่ายน้ำ ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง” บัดนี้คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างประหลาดใจบ้างแล้ว และพูดว่า “อะไรกัน นี่คุณว่ายน้ำไม่เป็นหรอกรึ คุณมีความรอบรู้มากมายออกขนาดนี้ ประวัติศาสตร์เอย ภูมิศาสตร์เอย และวิชาวิทยาศาสตร์เอยคุณก็รู้ แต่ทำไมคุณถึงไม่ไปเรียนการ ว่ายน้ำด้วยเล่า อีกสักประเดี๋ยวเถอะ คุณก็จะได้รู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย” ลมพายุพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เรือแจวลำน้อยถูกคลื่นและลมโหมซัดพัดกระหน่ำใส่เข้ามา ในไม่ช้าไม่นานเรือแจวก็ถูกคลื่นและพายุซัดจนเรือพลิกคว่ำคนแจวเรือจ้างสามารถ ว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่านักศึกษาผู้น่าสงสาร ได้จมหายไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดนั้นเอง
ใครที่ไม่เคยปวดท้องประจำเดือนคงไม่รู้ถึงความทรมานที่เกิดขึ้นแน่นอน จึงขอแนะนำวิธีบรรเทาอาการปวดประจำเดือนให้คุณสาว ๆ โดยไม่ต้องพึ่งยา ได้นำไปใช้กัน 1.รักษาน้ำหนักตัวเองให้คงที่ การรักษาน้ำหนักของตัวเองให้คงที่ก็มีผลต่ออาการปวดประจำเดือนของคุณเช่นกัน รู้ไหมว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายคุณผู้หญิงถูกสร้างมาจากเซลล์ที่ทำหน้าที่เก็บสะสมไขมัน เพราะฉะนั้น ถ้าร่างกายของคุณมีไขมันสะสมมากเกินไป ฮอร์โมนเอสโตรเจนก็จะถูกสร้างเพิ่มขึ้นไปด้วย ทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายไม่สมดุล ส่งผลทำให้คุณมีอาการปวดที่มดลูกได้ 2.ดื่มน้ำมาก ๆ ถ้าคุณดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตับนี่แหละที่เป็นพระเอกของคุณ เพราะมันจะช่วยรักษาความสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนให้ ทำให้คุณไม่ปวดท้องประจำเดือนนั่นเอง 3.หลีกเลี่ยงกาเฟอีน กาเฟอีน เป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์ที่พบได้ในกาแฟ โคล่า ชา น้ำอัดลม รวมถึงในช็อกโกแลตด้วย ดังนั้น คุณผู้หญิงควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกนี้ โดยเฉพาะช่วงก่อนและระหว่างที่ประจำเดือนมา เพราะกาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ซึ่งมันจะทำให้อาการปวดในช่องท้องของคุณหนักหนาสาหัสมากขึ้นอีกนะ ออกกำลังกาย 4.ออกกำลังกายซะ การออกกำลังกายเป็นยาวิเศษที่ช่วยรักษาได้ทุกอาการ แม้แต่การปวดประจำเดือน อ๊ะ...แต่ในที่นี้เราไม่ได้บอกให้คุณสาว ๆ ที่นอนปวดท้องอยู่ลุกขึ้นไปออกกำลังกายทันทีหรอกนะ เราหมายถึงให้คุณหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำต่างหากล่ะก่อนที่ประจำเดือนจะมาในเดือนต่อไป เพราะมันจะช่วยลดระดับความเครียดในตัวคุณ แล้วเจ้าความเครียดนี่แหละ คือสิ่งที่ทำให้อาการปวดของคุณหนักขึ้น นอกจากนั้นแล้ว การออกกำลังกายยังจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข และช่วยลดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในร่างกาย ประโยชน์หลายต่อแบบนี้ ไม่ออกกำลังกายก็ไม่ได้แล้วล่ะ 5.ใช้ความร้อนเข้าช่วย หากใครปวดหลังก็อาจแปะแผ่นความร้อนไว้คลายปวดบนแผ่นหลัง เช่นเดียวกับการปวดท้องประจำเดือน คุณสาว ๆ หลายคนก็เลือกใช้กระเป๋าน้ำร้อนมาวางไว้บนท้องน้อย นอนพักสักครู่ ก็จะรู้สึกได้ว่า อาการปวดนั้นเริ่มทุเลาลง เพราะความร้อนมันจะไปช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่ตึง ๆ ผ่อนคลายลง และยังช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้ได้ด้วย หรือจะลองลุกไปอาบน้ำอุ่น ๆ ดูก็น่าจะช่วยได้ค่ะ 6.ไฟเบอร์ก็สำคัญ ฮอร์โมนส่วนเกินของร่างกายนั้นสามารถขจัดได้ผ่านลำไส้ ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มาก ๆ นั้นดีต่อระบบขับถ่าย จึงช่วยให้ฮอร์โมนถูกกำจัดออกไปได้ง่ายขึ้น อย่าลืมนะว่า ฮอร์โมนส่วนเกินเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล จนเป็นสาเหตุของการปวดท้องประจำเดือน อาหารเพื่อสุขภาพ 7.ทานผักสิ ผักใบสีเขียวเข้ม อย่างเช่น ผักโขม ผักปวยเล้ง เต็มไปด้วยธาตุแมกนีเซียม ซึ่งผลการศึกษาพบว่า แมกนีเซียม คือ สารอาหารที่มีประโยชน์สำหรับผู้หญิงที่ปวดท้องประจำเดือน เพราะมันจะไปช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูก ทำให้อาการปวดของคุณลดน้อยลง ซึ่งนอกจากจะพบแมกนีเซียมในผักใบเขียวแล้ว ยังพบในเต้าหู้สด ถั่วอัลมอนด์ มะม่วงหิมพานต์ ถั่วลิสง ถั่วต้ม ข้าวกล้อง ข้าวสวย ข้าวโอ๊ต กล้วย นม และโยเกิร์ต 8.นอนขดตัว ฟังดูอาจเป็นเรื่องตลก แต่การนอนขดตัวท่าเดียวกับเด็กทารกในครรภ์จะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องให้คุณผู้หญิงได้ เคยสังเกตไหมล่ะ เวลาเด็กทารกปวดท้องมักจะชันขาขึ้นมาไว้ใกล้ ๆ ท้อง นี่เป็นการตอบสนองอัตโนมัติของร่างกายที่บอกให้รู้ว่า ท่านี้แหละช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อท้อง และบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ 9.ทานสมุนไพร มีผลการศึกษาหลายแห่งระบุว่า สมุนไพรหลายชนิดช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ อย่างเช่น อีฟนิ่งพรีมโรส, ดอกคาร์โมไมล์, เซนต์จอห์นเวิร์ต, ตังกุย, แบล็คโคโฮส ฯลฯ การทานสมุนไพรเหล่านี้จะช่วยทำให้คุณปวดท้องประจำเดือนน้อยลงได้ แต่ต้องศึกษาผลข้างเคียงของสมุนไพรแต่ละชนิดให้ดี ก่อนซื้อหามารับประทานค่ะ มันฝรั่งทอด 10.บอกลามันฝรั่งทอด ไม่ใช่แค่มันฝรั่งทอดนะจ๊ะ แต่หมายถึงอาหารทุกชนิดที่มีรสเค็ม รวมทั้งอาหารมัน ๆ ทั้งหลาย จำพวกจังก์ฟู้ดทั้งหลายนั่นแหละตัวดีเลยค่ะ เพราะปกติแล้วร่างกายจะสร้างสารพรอสตาแกลนดินส์ขึ้นมาให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัวขับเลือดประจำเดือนออกมา แต่ถ้าหากคุณทานอาหารรสเค็มจัด หรือมันจัด ร่างกายจะผลิตสารนี้ออกมามากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกถูกบีบตัวแรงขึ้น ทีนี้ อาการปวดท้องของคุณก็จะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมอีก 11.นวดท้อง อีกหนึ่งวิธีบรรเทาอาการปวดท้องก็คือการนวดท้องนี่เอง คุณจะนวดเอง หรือจะให้หวานใจช่วยนวดให้ก็ได้ โดยให้นวดเป็นวงกลมอย่างแผ่วเบา และกดที่บริเวณท้องเล็กน้อย จะช่วยให้กล้ามเนื้อตรงบริเวณท้องผ่อนคลายลง เป็นการคลายความเจ็บปวด และความตึงเครียดที่ทำให้คุณเจ็บปวด 12.ใช้น้ำมันหอมระเหย กลิ่นหอม ๆ ของน้ำมันหอมระเหย จะช่วยทำให้คุณผ่อนคลาย และมีความสุขในชั่วระยะหนึ่ง ลองหยดน้ำมันหอมระเหยลงไปในอ่างอาบน้ำ หรือจุดเทียนหอมระเหยดูสิ มันจะช่วยให้คุณลืมความเจ็บปวดไปได้ เห็นไหมว่าไม่จำเป็นต้องทานยาแก้ปวด หรือทานยาคุมกำเนิด คุณก็สามารถบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้แล้ว แต่ถ้าใครลองใช้วิธีเหล่านี้แล้วก็ยังไม่ได้ผล ยังคงร้องโอดโอยปวดท้องประจำเดือนอย่างหนักจนถึงขั้นเป็นลมเป็นแล้ง และมีอาการแบบนี้ทุกเดือน เราขอแนะนำให้คุณไปปรึกษาแพทย์หน่อยก็ดีค่ะ เพราะบางทีอาจจะเกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้นในร่างกายก็เป็นได้
ปวดท้องเกิดจากอะไร? อาการปวดท้องเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน โดยส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ท้องผูก ปวดประจำเดือน เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นอีกหนึ่งอาการของโรคต่างๆอีกด้วย เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลย้อน โรคมะเร็ง โรคนิ่ว โรคไต โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น วิธีแก้ปวดท้อง วิธีแก้ปวดท้องอย่างถูกวิธี โดยอาการปวดท้องในแต่ละแบบนั้นจะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับสาเหตุเป็นหลัก ซึ่งถ้าเป็นอาการปวดท้องทั่วไป ที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ก็สามารถดูแลรักษาให้หายได้ด้วยตัวเอง ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ 1. พักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับอย่างเต็มที่จะช่วยให้ร่างกายปรับสมดุล และรักษาตนเองได้ในระดับหนึ่ง โดยไม่ต้องพึ่งยาหรือหมอเลย 2. หลีกเลี่ยงความเครียด ความเครียดเป็นตัวการอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องซึ่งหลายคนมองข้ามไป โดยจะส่งผลให้อาการปวดท้องหนักกว่าเดิมได้ 3. ยาลดกรด อาการปวดท้องที่เกิดจากกรดในกระเพาะอาหาร สามารถบรรเทาลงได้ด้วยการอาศัยยาลดกรด ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อและร้านยาต่างๆ โดยเป็นวิธีหนึ่งที่สะดวกรวดเร็วและบรรเทาอาการได้เป็นอย่างดี 4. รับประทานอาหารอ่อนๆ เนื่องจากอาหารอ่อนๆที่รสไม่จัดนั้น จะช่วยให้การทำงานของระบบย่อยอาหารทำงานไม่หนักเกินไป 5. ดื่มน้ำมากๆ การดื่มน้ำเปล่าจะช่วยชำระล้างสารพิษในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการปวดท้อง รวมทั้งช่วยปรับสมดุลของร่างกายให้ดีอีกด้วย ซึ่งวิธีวิธีแก้ปวดท้องและวิธีรักษาอาการปวดท้องดังกล่าวเป็นวิธีการรักษาเบื้องต้น สำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง แต่หากพบว่ามีอาการรุนแรงและมีอาการอื่นร่วมด้วยโดยหาสาเหตุไม่ได้ ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อทำการรักษาได้ทันเวลา…
การเรียกชื่อ แบรนด์เนม ให้ถูกต้องก็เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ควรรู้ไว้ ทั้งแฟชั่นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง ส่วนมากมาจากฝั่งยุโรปหมดเลย การอ่านตัวสะกดจึงไม่เหมือนภาษาอังกฤษ เพราะบางแบรนด์มาจากประเทศ ฝรั่งเศส อิตาลี เมื่อมีสระหน้าตาแปลกๆ é, è, ô ก็เลยทำให้หลายคงงงไปตามๆกัน ลองมาเช็คกันว่าคุณเรียกผิดมาตลอดชีวิตหรือเปล่า? แบรนด์เนม Anna Sui = แอนนา ซุย * ห้ามอ่านว่า แอนนาสุ่ย Bvlgari Bvlgari =บุลการี * ห้ามอ่านว่า บวัลการี burberry BURBERRY = เบอร์เบอรี่ ห้ามอ่านว่า บลูเบอรี่ (อันนั้นมันชื่อผลไม้แหละ) Balenciaga Balenciaga= บาเลนเซียก้า * Celine Céline = ซีลีน * christian-louboutin Christian Louboutin = คริสติยอง ลูบูแตง * Chloe Chloé = โคลเอ้ ห้ามอ่านว่า โชเล่ clarins clarins = คลาแรงส์ * ห้ามอ่านว่า คารินส์ charles&keith Charles & Keith = ชาร์ลแอนด์คีท แบรนด์เนม Darphin= ดาฟาง * ห้ามอ่านว่า ดาฟิน, ดาแฟง Dolce-&-Gabbana Dolce & Gabbana = ดอลเช่ แอนด์ แกบาน่า esprit Esprit = เอสพรี ห้ามอ่านว่า เอส สปีริต, อี สปริต Givenchy Givenchy =จีวองชี่ ห้ามอ่านว่า กีฟเวนชี่ Guy Laroch Guy Laroche = กีลาโรช ห้ามอ่านว่า กาย ลาโรเช่ Hermes Hermès = แอร์-เมส ห้ามอ่านว่า เฮอร์เมส, เฮริมส์ illamasqua illamasqua = อิลลามาสก้า Juicy Couture Juicy Couture = จูซี่ กูตูร์ * ห้ามอ่านว่า จุ๊ยซี่ คอนทัวร์, จุ๊ยซี่ เคาน์เตอร์ La-Roche-Posay La Roche Posay = ลาโรช-โพเซย์ laura-mercier Laura Mercier = ลอร่า เมอร์ซิเอ้ * lancome Lancôme = ลังโคม * ห้ามอ่านว่า แลนคัม แบรนด์เนม Lanvin = ลองแวง ห้ามอ่านว่า แลนวิน La mer La mer = ลาแม ห้ามอ่านว่า ลาเมอร์ Louis-vuitton Louis vuitton = หลุย วิตตง longchamp Longchamp = ลองฌอมป์ * ห้ามอ่านว่า ลองแชมป์ L'Occitane L’Occitane = ลอคซิทาน miu-miu miu miu อ่านว่า มิวมิว ห้ามอ่านว่า มิอุ มิอุ, มุยมุย, กาเบกาเบ (อ่านเป็นภาษาไทยซะเลย) michael-kors Michael Kors =ไมเคิล คอร์ * ห้ามอ่านว่า มิเชล คอร์ (เปลี่ยนเพศให้เฉยเลย) oakley Oakley = โอ๊ค-ลี่ย์ ห้ามอ่านว่า โอ๊คเล่ pierre-cardin Pierre Cardin = ปีแอร์ การ์แดง ห้ามอ่านว่า เปียคาดิ้น, เปียกระเด้ง tissot Tissot = ทิสโซต์ * yves-saint-laurent Yves Saint Laurent = อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ * ห้ามอ่านว่า อีฟ เซนต์ ลอเรนต์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เรื่อง การพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นการนำเอาความรู้ในด้านการเขียนโปรแกรม มาใช้ร่วมกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รวมถึงอุปกรณ์อื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลิตผลงานสำหรับแก้ปัญหา หรือนำผลงานมาประยุกต์ในงานจริง นักเรียนจะต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ เพื่อวางแผนการพัฒนาโครงงาน โดยอาจขอคำปรึกษาจากอาจารย์ผู้สอน หรือผู้ทรงคุณวุฒิอื่น เป้าหมายสูงสุดของการจัดทำโครงงานคือ การที่โครงงานได้ถูกนำไปใช้งานจริงและก่อให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริงของผู้นำไปใช้ ในการเลือกหัวข้อโครงงานนั้นผู้พัฒนาอาจเริ่มจากการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ร่วมกับประสบการณ์ในการคิดค้นถึงสิ่งที่แก้ปัญหา และความเป็นไปได้ในการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยงาน โดยทั่วไปแล้วโครงงานคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท คือ 1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา เป็นการสร้างบทเรียนที่อาจมีแบบฝึกหัดหรือคำถามเพื่อทดสอบด้วย 2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ เป็นการพัฒนาโปรแกรมช่วยงานในด้านต่าง ๆ 3. โครงงานจำลองทฤษฎี เป็นการพัฒนาโปรแกรมเพื่อจำลองการทดลองในด้านต่างๆ ที่ไม่สามารถทดลองด้วยสถานการณ์จริงได้ 4. โครงงานประยุกต์ เป็นการนำเอาคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ร่วมกับอุปกรณ์อื่นในการประดิษฐ์สิ่งของหรือปรับปรุงเครื่องมือที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น 5. โครงงานพัฒนาเกม เป็นการสร้างเกมเพื่อการศึกษาหรือความบันเทิง 1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media) เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียน หรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวนและคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มก็ได้ 2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development) เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือมาใช้ช่วยสร้างงานประยุกต์ต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน ซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ เป็นต้น 3. โครงงานประเภทการทดลองทฤษฎี (Theory Experiment) เป็นโครงงานใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลอง การทดลองของสาขาต่าง ๆ เป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริงและแนวความคิดต่าง ๆ แล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสมการ สูตร หรือคำอธิบายก็ได้ พร้อมทั้งนำเสนอวิธีการจำลองทฤษฎีด้วยคอมพิวเตอร์ 4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน (Application) โครงงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือปรับปรุงดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อนแล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้น ๆ ต่อจากนั้นต้องมีการทดสอบการทำงานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้ว ปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ 5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development) เป็นโครงงานพัฒนาซอฟต์แวร์เกม เพื่อความรู้ และ/หรือ ความเพลิดเพลิน ซึ่งเกมที่พัฒนาขึ้นนี้น่าจะเน้นให้เป็นเกมที่ไม่รุนแรง เน้นการใช้สมองเพื่อฝึกคิดอย่างมีหลักการ โครงงานประเภทนี้จะมีการออกแบบลักษณะและกฎเกณฑ์การเล่น เพื่อให้น่าสนใจแก่ผู้เล่น พร้อมทั้งให้ความรู้สอดแทรกไปด้วย

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

“วัดบางกุ้ง” จ.สมุทรสงคราม ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามแปลกตาของโบสถ์เก่าแก่ที่มีต้นโพธิ์ต้นไทรมาปกคลุมจนรอบ เป็นอุโบสถหลังเดิมตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยที่ยังเป็นที่รกร้างนั้น หากมองเข้ามาก็จะเห็นเป็นเพียงกลุ่มต้นไม้ใหญ่ที่เกาะกันไว้หนาแน่นมากกว่า เนื่องจากรากของต้นโพธิ์ ต้นไทร และต้นไม้ใหญ่ต่างๆ ปกคลุมโบสถ์จนทั่ว แต่ก็เพราะรากไม้เหล่านี้ที่ช่วยให้โบสถ์ยังคงรูปร่างอยู่ได้เหมือนเดิม ภายในโบสถ์ประดิษฐาน หลวงพ่อนิลมณี หรือหลวงพ่อดำ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยอยุธยาตอนปลาย ชาวพุทธทั่วทุกสารทิศนิยมแวะเวียนมากราบสักการะท่านเนื่องจากเชื่อถือในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000133701

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เทคนิคการรับประทานอาหารให้สุขภาพดี คำว่า "อาหาร" กับ "สุขภาพ" เป็นสิ่งที่คู่กันนะค่ะ ไม่ว่าใครก็อยากมีสุขภาพที่ดี ยิ่งเวลาทานอาหารแล้วละก็ทำให้สุขภาพดี หุ่นดี ยิ่งทำให้เรารู้สึกดี ทำให้กำลังได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกการกินเพื่อ สุขภาพคือสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องให้ความใส่ใจ เพราะการกินไม่ใช่แค่การสนองความต้องการหรือให้อิ่มท้องเท่านั้น หากแต่ยังต้องคำนึงถึงผลที่มีต่อสุขภาพด้วย วันนี้เรามีเคล็ดลับการรับประทานอาารให้ได้สุขภาพที่ดีมาฝากนะคะ เทคนิคการรับประทานอาหาร 1.) ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกาย และสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้การเผาผลาญ พลังงานดีขึ้น 2.) เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่า นี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนต์ ใยอาหาร และปัจจัยอื่น ช่วยลดความเสี่ยง โรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอล และความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น 3.) เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่ม วิตามิน เกลือแร่และสารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอล และสารก่อมะเร็งบางชนิด ออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4.) ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบกรอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่น ๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทาง โภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น 5.) กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น 6.) ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย 7.) ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่าย และมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็ก ๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนมขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนย เพื่อลดคอเลสเตอรอล 8.) งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์เป็นสารเสพติด บั่นทอนสุขภาพ ทำให้การทำงานของระบบประสาทและสมองช้าลงมักก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เป็นตัวพาสารพิษเข้าร่างกายได้รวดเร็วเพราะดูดซึมเร็ว คนที่ติดแอลกอฮอล์มักขาดวิตามินและแร่ธาตุ และมักเป็นโรคตับแข็งปริมาณอาหารแค่ไหนจึงจะพอเหมาะสำหรับผู้สูงอายุเพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้ในแง่รูปธรรมการกำหนดปริมาณอาหารในแต่ละหมวดหมู่จึงมีความจำเป็น พร้อมกันนี้การแนะนำอาหารในแต่ละหมวดให้สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ก็จะเป็น ประโยชน์แก่ผู้สูงอายุเพื่อให้เกิดความหลากหลายของการเลือกบริโภคอาหารวิธี การตรวจดูได้ว่าได้รับอาหารน้อยเกินไปหรือไม่คำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index, BMI) ถ้า BMI เกินมาตรฐานอ้วนไป แสดงว่ารับประทานมากกว่าที่ร่างกายต้องการใช้ 9.) หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด อาหารหวานจัด เช่น พวกขนมหวานต่างๆหรือการเติมน้ำตาลในเครื่องดื่มต่างๆถ้ากินมากๆจะเป็นพลังงานส่วน เกินสามารถเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกายได้ สำหรับอาหารเค็มจัดจะมีแร่ธาตุโซเดียมอยู่มาก ถ้ากินเป็นประจำทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้ หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงรสใดๆก่อนการชิมอาหาร ลดการบริโภค 10.) กินอาหารสะอาดปราศจากการปนเปื้อน เลือกซื้ออาหารสดสะอาด ล้างผักให้สะอาดก่อนปรุง เก็บอาหารที่ปรุงสุกปิดฝาให้มิดชิด ถ้ามีอาหารเหลือเก็บในตู้เย็น เลือกซื้ออาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆหลีกเลี่ยงอาหารที่เติมสีและอาหารสุกๆดิบๆ
ประโยชน์ของน้ำดื่ม 1.น้ำประโยชน์ของน้ำดื่ม ช่วยให้สุขภาพผิวดูมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่งสดใส 2.น้ำช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยได้ เพราะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวของเราแห้งกร้าน 3.ช่วยให้ดวงตาของคุณดูสดใส มีชีวิตชีวา 4.ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว 5.ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย 6.ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลในร่างกาย 7.ช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย สบายใจ 8.น้ำช่วยให้สมองทำงานได้ไว และดียิ่งขึ้น 9.ช่วยทำให้เกิดสมาธิมากขึ้น ผู้ที่อยู่ในวัยเรียนควรให้ความสำคัญ 10.ช่วยลดการเกิดกลิ่นปาก 11.ช่วยชะลอความแก่ ทำให้เซลล์ต่าง ๆในร่างกายไม่ขาดน้ำ และทำงานได้อย่างเป็นปกติ 12.ช่วยลดอาการเครียด สำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทำงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น อย่าเครียดจนลืมดื่มน้ำ! 13.น้ำช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายของเราได้ ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่ 14.น้ำสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับผิวหนังของคุณได้ แถมยังป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆที่จะเข้าสู่ร่างกายได้อีกด้วย 15.ช่วยลดการปวดหลังหรือบั้นเอว 16.ช่วยลดอาการปวดข้อต่าง ๆ ช่วยให้ข้อต่อต่าง ๆในร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น เคลื่อนไหวไปมาได้สะดวก รู้หรือไม่ว่าน้ำก็คือยาวิเศษดี ๆนี่เอง ถึงแม้จะไม่เห็นผลทันตาแต่ก็สามารถช่วยรักษาโรคหลาย ๆชนิดได้ น้ำช่วยลดอาการการปวดศีรษะและไมเกรนได้ไม่มากก็น้อย เพราะผู้ป่วยไมเกรนหากร่างกายขาดน้ำหรือได้รับไม่เพียงพอแล้ว อาการปวดหัวอาจจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ประโยชน์ของการดื่มน้ำช่วยในการย่อยอาหาร เพราะทำให้ระบบย่อยอาหารทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงยังช่วยป้องกันโรคกรดไหลย้อนได้อีกด้วย สำหรับผู้ที่ท้องผูกน้ำคือสิ่งจำเป็นอย่างมาก น้ำมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักตัว โดยไปลดความอยากอาหารก่อนการรับประทานอาหารนั่นเอง การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วจะช่วยให้ปริมาณไขมันในร่างกายของเราให้ลดลงได้ ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างเป็นปกติและมีประสิทธิภาพ ช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ช่วยรักษาสุขภาพไตให้แข็งแรง ประโยชน์ของการดื่มน้ำ ประการสุดท้ายก็คือช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต โทษของน้ำ โรคที่เกิดจากการขาดน้ำที่เรามักพบเห็นก็คือ โรคภาวะขาดน้ำ หรือ ดีไฮเดรชัน (Dehydration) การดื่มน้ำประมาณ 1 – 1.15 แกลลอน หรือ 16-24 แก้ว ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง อาจทำให้เกิดอันตรายในวัยผู้ใหญ่ หรืออาจทำให้เด็กอ่อนเสียชีวิตได้ การดื่มน้ำระหว่างหรือรับประทานอาหารทันทีหรือบ่อย ๆ อาจส่งผลต่อระบบการย่อยอาหารทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพได้
ประวัติวันวิสาขบูชา วันวิสาขบูชา 2559 นี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2559 ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันวิสาขบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (ถ้าเป็นปีที่มีอธิกมาส ก็เลื่อนออกไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗) ในวันนี้ได้มีเหตุการณ์ที่สำคัญเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ๓ ประการ คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพาน ในวันเดียวกันของพระพุทธเจ้า วันวิสาขบูชา วันวิสาขบูชา ความสำคัญของ “วันวิสาขบูชา” วันวิสาขบูชาได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ให้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เนื่องจากเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธ ด้วยเหตุตามที่กล่าวมา วันวิสาขบูชา จึงถือว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเมื่อถึงวันเช่นนี้ พุทธศาสนิกชนถ้วนหน้าทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส จึงพร้อมใจกันน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า ประกบอพิธีบูชาด้วยอามิสบูชา และปฏิบัติบูชาด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง การบูชาอันเนื่องด้วยวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ดังกล่าวมาก็ควรที่จะกล่าวประวัติไว้เพื่อเป้นการเจริญศรัทธา ความเชื่อและปสาทะความเลื่อมใสต่อไป กิจกรรมที่ชาวพุทธศาสนิกชนควรปฏิบัติในวันวิสาขบูชา ในวันวิสาขบูชานี้ ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลก ส่วนใหญ่จึงจะมารวมตัวกันเพื่อจัดพิธีบุญใหญ่ หรือกิจกรรมต่างๆ เพื่อบำเพ็ญกุศลและรำลึกถึงพระพุทธเจ้า เช่น ทำบุญตักบาตร ถือศีล ฟังธรรม ปล่อยนก ปล่อยปลา และนิยมเวียนเทียนรอบอุโบสถ์ในตอนค่ำ เพื่อเป็นการถวายพุทธบูชาอีกด้วย การประสูติ พระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระศาสดาเอกของโลก เมื่อครั้งที่พระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ทรงกระทำบุญญาธิการไว้ในสำนักของ พระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ มีพระพุทธเจ้าทรงพระนาม ทีปังกรเป็นต้นมาถึง ๔ อสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัลป์ จนได้รับพยากรณ์จากสำนักของพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๔ พระองค์นั้นว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดม ในอนาคต พระองค์ได้บำเพ็ญพุทธการกธรรมมีทานบารมีเป็นเป็นต้น และได้รวบรวมธรรม ๘ ประการ คือ ๑. มนุสฺสตฺตํ เป็นมนุษย์ ๒. ลิงคสมฺปตฺติ เป็นเพศชาย ๓. เหตุ มีอุปนิสัยสมบัติที่จะบรรลบุมรรคผลได้ ๔. สตฺถารทสฺสนํ พบพระพุทธเจ้าขณะที่ยังทรงพระชนม์อยู่ ๕. ปพฺพชฺชา บวชเป็นดาบสหรือพระภิกษุอยู่ ๖. คุณสมฺปตฺติ ได้สมาบัติ ๘ และ อภิญญา ๕ ๗. อธิกาโร อาจสละชีวิตแก่พระพุทธเจ้าได้ ๘. ฉนฺทตา มีฉันทะ อุตสาหะ บำเพ็ญพุทธกากรธรรม ธรรมทั้ง ๘ ประการนี้เรียกว่า อภินิหาร พระพุทธองค์ได้ทรงกระทำอภินิหารแทบเบื้องยุคลบาทของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทีปังกร ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ ได้บำเพ็ญบารมีและพิจารณาถึงพุทธการกธรรมมา โดยลำดับตราบจนถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดร อันเป็นพระชาติสุดท้ายที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญทานบารมี พระพุทธเจ้า ผู้เป็นเอกอัครมหาบุรุษของโลก พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี มาด้วยมุ่งหวังที่จะช่วยเหลือหมู่เวไนยสัตว์ ทั่งข้องอยู่ในวัฏฏะให้ข้ามพ้นจากวัฏฏะ ดังนั้นพระองค์เมื่อจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ก็ย่อมสเด็จอุบัติขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือชาวโลก ให้พ้นจากทุกข์ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอก เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่ออัตถประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลผู้เป็นเอกเป็นไฉน ? คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอกนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่ออัตถประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ความปรารถนาของพระพุทธเจ้าจะปรากฏง่าย ๆ เหมือนสามัญชนก็หาไม่ แท้ที่จริงแล้วความปรากฏของพระพุทธเจ้าเป็นการยาก ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรารกฏของบุคคลผู้เอกหาได้ยากในโลก, บุคคลผู้เอกเป็นไฉน , คือพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรากฏของบุคคลผู้เอกนี้แล หาได้ยากในโลก พระพุทธเจ้า ผู้เป็นเอกอัครมหาบุรุษของโลก เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเป็นอัจฉริยมนุษย์ที่พิเศษกว่ามวลมนุษย์ทั้งหลาย เกิดขึ้นในโลก ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอกเมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเป็นอัจฉริยมนุษย์, บุคคลผู้เอกเป็นไฉน, คือพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอกนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเป็นอัจฉริยมนุษย์ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเอกอัครมหาบุรุษของโลก จะมีใคร ๆ ในโลกที่จะเปรียบเทียบเสมอกับพระองค์ย่อมไม่มี ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอกเมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเป็นผู้ไม่เป็นที่ ๒ ไม่มีใครเช่นกับพระองค์ ไม่มีใครเปรียบ ไม่มีใครเปรียบเสมอ ไม่มีส่วนเปรียบ ไม่มีบุคคลผู้เปรียบ ไม่มีใครเสมอ เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอ เป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย, บุคคลผู้เอกเป็นไฉน คือพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เอกนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเป็นผู้ไม่เป็นที่ ๒ ไม่มีใครเช่นกับพระองค์ ไม่มีใครเปรียบ ไม่มีใครเปรียบเสมอ ไม่มีส่วนเปรียบ ไม่มีบุคคลผู้เปรียบ ไม่มีใครเสมอ เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอ เป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย ความปรากฏของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเอกอัครมหาบุรุษของโลก ย่อมจะให้สำเร็จสิ่งที่ประสงค์ทุกประการ ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรากฏขึ้นแห่งบุคคลผู้เอก เป็นความปรากฏขึ้นแห่งจักษุใหญ่ แห่งแสงสว่างใหญ่ แห่งโอกาสใหญ่ แห่งอนุตตริยะ ๖ เป็นการกระทำให้แจ้งซึ่งผล คือ วิชชาและวิมุตติ เป็นการกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผล, บุคคลผู้เอกเป็นไฉน, คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความปรากฏขึ้นแห่งบุคคลผู้เอกนี้แล เป็นความปรากฏขึ้นแห่งจักษุใหญ่ แห่งแสงสว่างใหญ่ แห่งอนุตตริยะ ๖ เป็นการกระทำให้แจ้งซึ่งปฏิสัมภิทา ๔ เป็นการแทงตลอดธาตุเป็นอันมาก เป็นการแทงตลอดธาตุต่าง ๆ เป็นการกระทำให้แจ้งซึ่งผลคือวิชชาและวิมุตติ เป็นการกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผล, พระพุทธพจน์ดังกล่วามานี้ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า วันประสูติของพระพุทธเจ้านับว่าเป็นวันที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นวันเกิดของบุคคลผู้เป็นเอกอัครมหาบุรุษ เป็นอัจฉริยมนุษย์ เป็นผู้สูงสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จะหาบุคคลที่เสมอเหมือนไม่มีในโลก ดังที่พระองค์ทรงเปล่งกล่าวอาสภิวาจาว่า อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก, เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก, เสฏฺโฐหสฺมิ โลกสฺส เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก การประสูติของพระพุทธเจ้าที่สวนลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะต่อกัน ในวันเพ็ญ เดือน ๖ เป็นวันที่ชาวโลกได้บุคคลที่สำคัญที่สุดของโลก เพราะเหตุนั้น วันประสูติของพระพุทธเจ้าจึงนับว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา การตรัสรู้ พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายได้ทรงตรัสรู้สัจจธรรม ๔ ประการ หรือที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ ประการ ซึ่งเป็นของจริงอย่างประเสริฐที่สุด ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ชอบได้ โดยพระองค์เองที่โคนต้นโพธิ์อัสสัตถพฤกษ์ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แขวงเมืองพาราณสี โดยไม่มีใครเป็นครูอาจารย์สั่งสอนมาก่อนเลย ดังที่พระองค์ตรัสว่า
วันอัฏฐมีบูชา วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ความหมาย เนื่องด้วยอัฏฐมีคือวันแรม ๘ ค่ำ แห่งเดือนวิสาขะ (เดือน ๖) เป็นวันที่ถือกันว่าตรงกับวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เมื่อถึงวันนี้แล้ว พุทธศาสนิกชนบางส่วน ผู้มีความเคารพกล้าในพระพุทธองค์ มักนิยมประกอบพิธีบูชา ณ ปูชนียสถานนั้น ๆ วันนี้จึงเรียกว่า "วันอัฏฐมีบูชา" ประวัติความเป็นมา เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ๘ วัน มัลลกษัตริย์แห่งนครกุสินารา พร้อมด้วยประชาชน และพระสงฆ์อันมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน ได้พร้อมกันกระทำการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ณ มกุฏพันธนเจดีแห่งกรุงกุสินารา วันนั้นเป็นวันหนึ่งที่ชาวพุทธต้องมีความสังเวชสลดใจ และวิปโยคโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะการสูญเสียแห่งพระพุทธสรีระ เมื่อวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งนิยมเรียกกันว่าวันอัฏฐมีนั้นเวียนมาบรรจบแต่ละปี พุทธศาสนิกชนบางส่วน โดยเฉพาะพระสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกาแห่งวัดนั้น ๆ ได้พร้อมกันประกอบพิธีบูชาขึ้น เป็นการเฉพาะภายในวัด เช่นที่ปฏิบัติกันอยู่ในวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ เป็นต้น แต่จะปฏิบัติกันมาแต่เมื่อใด ไม่พบหลักฐาน ปัจจุบันนี้ก็ยังถือปฏิบัติกันอยู่ ความสำคัญ โดยที่วันอัฏฐมีคือวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา ถือเป็นวันที่ตรงกับวันที่ตรงกับวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเป็นวันที่ชาวพุทธต้องวิปโยค และสูญเสียพระบรมสรีระแห่งองค์พระบรมศาสดา ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่ง และเป็นวันควรแสดงธรรมสังเวชและระลึกถึงพระพุทธคุณให้สำเร็จเป็นพุทธานุสสติภาวนามัยกุศล พิธีอัฏฐมีบูชา การประกอบพิธีอัฏฐมีบูชานั้น นิยมทำกันในตอนค่ำและปฏิบัติอย่างเดียวกันกับประกอบพิธีวิสาขบูชา ต่างแต่คำบูชาเท่านั้น
อุทยานราชภักดิ์ Page issues อุทยานราชภักดิ์ อุทยานราชภักดิ์เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ตั้งพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตหลายพระองค์ โดยปัจจุบันมี 7 พระองค์ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานชื่อว่า “อุทยานราชภักดิ์" ซึ่งเป็นอุทยานที่สร้างขึ้นด้วยความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และเพื่อเป็นการเทิดทูนและประกาศเกียรติคุณสมเด็จพระมหากษัตริย์แห่งสยาม โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเปิดอุทยาน เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2558 เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2559 นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะนายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพมหานคร อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 126 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ออกประกาศเรื่องจดทะเบียนข้อบังคับมูลนิธิราชภักดิ์ว่า มูลนิธินี้ชื่อว่า "มูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร" ย่อว่า "ร.ภ." เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Rajabhakti Pak Foundation Under the Royal Patronage of His Royal Highness Crown Prince Maha Vajiralongkorn“[1] มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิเป็น พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เป็นประธานคณะกรรมการ พล.อ.ประสูตร รัศมีแพทย์ กรรมการและเหรัญริก พล.อ.พอพล มณีรินทร์ กรรมการและเลขานุการ พ.อ.สมชาย กุลภควา กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ พล.อ.ศุภวุฒิ อุตมะ กรรมการ พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร กรรมการ พล.ท.สุทัศน์ จารุมณี กรรมการ นายไพศาล พืชมงคล กรรมการ น.ส.มรกต ณ เชียงใหม่ กรรมการ น.ส.ณสรัญ มหิทธชาติกุล กรรมการ นายชยุต ภวภานันท์กุล กรรมการ
เขาคิชกุฏจันทบุรี ยอด "เขาคิชฌกูฏ" ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ต.พลวง กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี เขาคิชฌกูฏ ที่จังหวัดจันทบุรี เป็นที่ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาทที่อยู่สูงที่สุดในประเทศไทย สูงกว่า 1,050 เมตร จากระดับน้ำทะเล ถือว่าสูงที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ "รอยพระพุทธบาท" มีลักษณะเป็นรอยบนหินแผ่นใหญ่ มีรอยลึกประมาณ 2 เมตรเศษ กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร ค้นพบที่ยอดเขาพระบาทห่างจากที่ทำการอุทยานเขาคิชฌกูฏราว 4 กม. เปิดตำนานรอยพระพุทธบาท เขาคิชฌกูฎ ที่มาของชื่อเขาคิชฌกูฏนั้น ในตำนานศาสนาพุทธกล่าวไว้ว่า เขาคิชฌกูฎอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธเป็นยอดเขาที่มีแนวเขาล้อมโดยรอบ และเคยเป็นสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าในอดีต เป็นความดำริของพระครูธรรมสรคุณซึ่งเป็นกรรมการและเป็นหลักในการพัฒนาพระบาทพลวงตั้งแต่ พ.ศ. 2515 ได้เสนอใช้ชื่อ พระบาทเขาคิชฌกูฎ (พลวง) เหตุผลเพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธที่พุทธศาสนาเจริญกว่าเมืองไหนๆ แม้กระทั่งประเทศอินเดีย โดยสภาพภูมิประเทศคล้ายคลึงและบนยอดเขามีสิ่งศกดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ คือ รอยพระพุทธบาท และหินลูกบาตร ที่ตั้งข้างรอยพระพุทธบาท อยู่ในลักษณะคล้ายลอยอยู่ริมลานพระพุทธบาทฝั่งตรงข้ามหินลูกบาตรมีรอยพระหัตถ์ไปรับหินก้อนนี้ และในหินก้อนนี้ ตรงข้ามกันรอยพระหัตถ์ มีรูปรอยเท้าใหญ่ (รอยเท้าพญามาร) ใต้พระบาทมีถ้ำตาฤาษี จึงน่าจะใช้ชื่อนี้เป็นที่ระลึกถึงพระบรมศาสดา ในทุกๆ ปีจะมีพิธีเปิดและพิธีปิดการขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ พระครูธรรมสรคุณ ยังได้สอนว่า "เท้าของพระพุทธองค์ แม้ประดิษฐานอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตาม ถ้าเรามีความเชื่อมั่น เคารพกราบไหว้ด้วยใจ อธิษฐานแล้ว ย่อมเกิดผลสำเร็จแก่ผู้นั้นทุกคนและเป็รสิริมงคลแก่ผู้นั้นตลอดไป" แต่ต้องตั้งจิตอธิษฐานให้ดี ปราถนาสิ่งใดที่ดีที่ชอบขอได้ตามความพอใจ กลับไปจะมีแต่ความปลอดภัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและเทพยดาที่รักษารอยพระพุทธบาทแห่งนี้ จะอำนวยอวยพรให้ท่านได้รับแต่ความสขตามสมบูรณ์พูลผล ร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป ซึ่งผู้อยากจะขึ้นไปสักการะบูชาสิงศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขานั้นจะต้องมีจิตศรัทธาที่แรงกล้า เนื่องจากต้องเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขาอีกราว 3 กม. ท่ามกลางผู้คนที่มีศรัทธาเดียวกันมากมายที่เบียดเสียด เพราะการจะขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาท เขาคิชฌกูฏ จะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี หรือช่วงช่วงประมาณปลายเดือนมกราคม - เดือนมีนาคม (ในปี 2559 นี้ คือระหว่างวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ถึง 7 เมษายน 2559) หรือแค่ประมาณ 2 เดือนต่อปีเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพุทธศาสนิกชนมากมายจากหลายที่ต่างถิ่น จะพร้อมใจกันมาสักการะบูชาแผ่นหินซึ่งเชื่อว่าประทับรอยพระพุทธบาทไว้ จะได้อานิสงส์แรงกล้า เปรียบได้กับการได้เข้าเฝ้าองค์พระศาสดาถือเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ปัจจุบันได้มีการจัดเดินป่าขึ้นยอดเขาคิชฌกูฏ เพื่อไปสักการะบูชารอยพระพุทธบาทจนกลายเป็นงานประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมานาน โดยมีความเชื่อว่าจะได้บุญสูง และเป็นการฝึกจิตใจให้มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก...ในอดีตจะเป็นการเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเขา แต่ในปัจจุบันมีรถบริการให้ประชาชน ได้เดินทางขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น
6 สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย 1. ค้นหาตัวเองให้เจอ น้องๆจำนวนมาก แม้กระทั่งม.6 แล้วก็อาจจะยังไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร หรืออยากเข้าคณะอะไร มีหน้าที่เรียนไปเรื่อยๆ คณะก็เลือกตามเพื่อนๆเอา หรือเลือกตามที่พ่อแม่แนะนำให้เลือกเอา ซึ่งการเลือกเช่นนั้นเป็นวิธีการที่ผิดเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากว่าน้องๆเข้าไปเรียนแล้วไม่ชอบ ไม่ใช่ ก็อาจต้องเสียเวลา “ซิ่ว” มาเรียนคณะอื่น หรือต่อให้จบแล้วอาจจะต้องทนทำงานนั้นไปตลอดชีวิตก็คงจะไม่ดีแน่ๆ ดังนั้นน้องๆต้องค้นหาตัวเองให้เจอครับ ว่าเราชอบคณะอะไร ชอบทำอาชีพอะไร ซึ่งอาจทำได้โดยดูจากลักษณะนิสัยของตัวเอง ถามรุ่นพี่คณะต่างๆ หรือเข้าร่วมค่ายที่จัดโดยคณะต่างๆเพื่อค้นหาตัวเองให้เจอว่าคณะไหนนั้น “ใช่” สำหรับเรา 2. หาข้อมูลการสอบ วิธีการรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยนั้นก็มีหลากหลายทางไม่ว่าจะเป็น รับตรงของมหาวิทยาลัยเอง โควต้าชนิดต่าง หรือจะเป็นการรับผ่านระบบของการสอบกลาง ก็แล้วแต่ ดังนั้นน้องๆก็ควรจะหาข้อมูลให้พร้อมว่าคณะที่เราอยากเข้านั้นรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อผ่านทางไหนบ้าง เพราะยิ่งเราทราบวิธีการรับนักเรียนมากวิธีเท่าไหร่โอกาสในการที่จะได้เข้าคณะนั้นๆก็ยิ่งสูงขึ้นไงครับ 3. ถามรุ่นพี่คณะนั้นๆให้ชัวร์ การถามรุ่นพี่คณะนั้นๆไม่ใช่การถามถึงวันสอบ การยื่นคะแนน หรืออะไรแนวนั้นนะครับ แต่เป็นการถามถึงรูปแบบการเรียนในมหาวิทยาลัยของคณะนั้นๆ งานที่รองรับเมื่อจบแล้ว เพื่อที่น้องๆจะได้ทราบว่าการเข้าไปเรียนนั้นน้องๆจะเรียนได้รึป่าว เรียนไหวไหม หรือจบมาแล้วรูปแบบการทำงานลักษณะแบบนี้โอเคไหม เป็นต้น 4. เตรียมจัดตารางการอ่านหนังสือ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นเราจะต้องแข่งขันกับนักเรียนทั้งประเทศ ดังนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอนใช่ไหมละครับ ดังนั้นน้องๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งม.6 จะมามัวแต่เล่น เที่ยว หรือเกเร ไม่ได้แล้วนะครับ น้องๆจะต้องมีการจัดตารางการอ่านหนังสือให้พร้อม โดยควรจัดตารางการอ่านหนังสือตั้งแต่เนิ่นๆ อาจจะตั้งแต่เปิดเทอมม.6 และควรวางแผนให้อ่านจบทั้งหมดก่อนสอบประมาณ 1-2 เดือน ไม่ใช่จบในคืนก่อนสอบละครับ 5. ทำโจทย์นั้นสำคัญ นอกจากเนื้อหาที่เราควรอ่านให้จบก่อนสอบ 1-2 เดือนแล้ว การทำข้อสอบก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยอาจทำโจทย์ไปพร้อมกับการอ่าน หรือทำในช่วง 1-2 เดือนที่เหลือจากการอ่านเนื้อหาก็ได้ แต่ต้องทำ!! เพราะการทำโจทย์นั้นจะทำเหมือนเป็นการลงสนามจริงหลังจากที่อ่านเนื้อหามาอย่างพร้อมแล้ว เพื่อที่จะประเมินว่าเรายังบกพร่องตรงจุดไหน หรือจริงๆแล้วที่เราอ่านมานั้นเราสามารถนำมาใช้ในการทำข้อสอบได้ดีแค่ไหน จะได้ปรับปรุงกันต่อไปไงครับ 6. ท้อได้ แต่อย่าถอย! ข้อนี้สำคัญมากนะครับ ในการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นคงเป็นช่วงชีวิตในการเรียนที่หนักที่สุดของน้องๆแล้วละ เพราะต้องแข่งกับนักเรียนทั้งประเทศ หลายครั้งที่อ่านหนังสือน้องๆอาจจะท้อ ซึ่งถ้าหากท้อก็อยากให้หยุดอ่านสักพัก ไปทำกิจกรรมอื่นๆที่อยากทำ และกลับมาอ่านหนังสือต่อ อย่าเพิ่งถอยจนเลิกอ่านไปเลย เพราะระหว่างที่เรากำลังเล่น คนอื่นอาจจะกำลังอ่าน และระหว่างที่เรากำลังอ่าน คนอื่นอาจจะกำลังอ่านมากกว่าก็ได้นะ......ท้อได้ แต่อย่าถอย กันละ พี่ๆขอเป็นกำลังใจให้น้องๆทุกคนนะครับ
เทคนิคเรียนเก่ง ความจำดี !! 9 Tweet13 Share0 Share427 image: http://files.unigang.com/pic/1/9613.jpg เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนหลักการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนหนังสือ 6 ประการซึ่งมีผู้นำไปปฏิบัติแล้วได้ผลดีมีดังนี้ 1. สะสม(Gradual) เรียนอย่างค่อยเป็นค่อยไป สะสมวันละนิดไม่ใช่หักโหมก่อนสอบ 2. ทำซํ้า( Repetition) ทบทวน ท่อง และทำแบบฝึกหัดซํ้า ๆ 3. ย้ำรางวัล(Reinforcement) ควรให้รางวัลตัวเองเมื่อ ทำงานสำเร็จในแต่ละครั้งเพื่อให้ขยันขึ้น 4. ขยันคิด(Active Learning) จงใส่ใจคิดตามเสมออย่าฟังหรืออ่านไปเรื่อย ๆ 5. ฟิตปฏิบัติ(Practice) ต้องลงมือปฏิบัติให้เกิดความชำนาญไม่ใช่รู้แต่ทฤษฏีอย่างเดียว การลงมือปฏิบัติจริงจะทำให้จำแม่นยำเกิดการถ่ายโยงความจำระยะสั้นให้เป็นระยะยาว 6. หาทางบังคับตัวเอง (Stimulus Control) โดยอาศัยการจัดสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเร่งและกระตุ้นจากหลักการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน 6 ประการดังกล่าว ถ้าเราปฏิบัติตนให้ถูกวิธี เราจะประสบผลสำเร็จ มีผู้เสนอข้อปฏิบัติตนที่ดีไว้มากมาย ต่อไปนี้เป็นข้อปฏิบัติตนที่ได้คัดเลือกให้ท่านลองนำไปปฏิบัติดูเพียง 5 ข้อ ข้อปฏิบัติตนของการเป็นผู้เรียนที่ดี 1. เวลาฟังอาจารย์สอนหรือเวลาอ่าน ต้องคิดตาม ถาม จด ตลอดเวลา ถ้าไม่เข้าใจควรจดคำถามไว้เพื่อคิดค้นคว้าหรือถามผู้รู้ต่อไป 2. หามุมที่ใช้เป็นที่ดูหนังสือหรือทำการบ้านที่จะทำให้มีประสิทธิภาพ 3. จัดเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เรียนมา หรืออ่านล่วงหน้าสิ่งที่จะเรียนต่อไป และถ้าปฏิบัติตามที่กำหนดได้ควรให้รางวัลตัวเอง เช่น ได้ขนม ได้เล่น ได้ฟังเพลง ดูทีวี ได้ออกกำลัง เป็นต้น ถ้าทำไม่ได้ตามกำหนดควรหาเวลาชดเชย 4. ท่องหนังสือกับเพื่อน อย่าหวงวิชา แบ่งปันความรู้อธิบายให้กันและกัน อย่าช่วยเหลือเพื่อนในทางที่ผิด เช่น ทุจริตเวลาสอบ หรือให้ลอกงานโดยไม่เข้าใจ 5. ฝึกศึกษาด้วยตนเอง มิใช่ต้องเรียนจากครูเพียงอย่างเดียว การศึกษาด้วยตนเองต้องใช้สมาธิมาก ต้องทำความเข้าใจจดสาระสำคัญต่าง ๆ ลงในโน้ตย่อ จดสิ่งที่ไม่เข้าใจไว้ค้นคว้าต่อไปขอให้ท่านลองปฏิบัติตาม 5 ข้อนี้ โปรดสำรวจตัวท่านเองทุกสัปดาห์ว่า ท่านยังขาดข้อใดบ้างพยายามปรับปรุงทำให้ได้ ต้องอดทน แม้ว่าจะเป็นนิสัยเดิมก็ตาม ถ้าท่านทำได้รับรองว่าท่านจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนคนหนึ่งแน่นอน หากท่านยังไม่สามารถปฏิบัติตนดังกล่าวได้ ท่านต้องหาสาเหตุอื่น ๆอีกเช่น ท่านขาดแรงจูงใจในการเรียนหรือไม่ เวลาทำใจไม่จดจ่อ (ขาดสมาธิ) ใช่หรือไม่ อ่านเท่าไรก็ไม่จำ (อ่านไม่เป็น) ใช่หรือไม่ คิดเท่าไรก็ไม่ออก ใช่หรือไม่ ถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับตัวท่านแล้วท่านจะต้องหาทางแก้ไขและฝึกฝนตนเองในจุดที่ท่านบกพร่องเช่นในด้านความจำ เป็นสิ่งสำคัญมากในการเรียนคณิตศาสตร์ เราต้องทำความเข้าใจก่อนแล้วจำ ทำอย่างไรเราจะจำดี จากการศึกษาของนักจิตวิทยาเกี่ยวกับการจำการลืมของมนุษย์พบว่า คนเรามีอัตราการจำหรือลืมดังนี้ เมื่อเวลาผ่านไป หนึ่งวัน คนเราจะจำเรื่องราวที่ตนอ่านไปได้ประมาณ 50% และลดลงไปอีกครึ่งหนึ่งทุก ๆ 7 วัน จนในที่สุด จะนึกไม่ออกเลยเมื่อผ่านไป 21 วัน ทางแก้การลืมความรู้ก็คือไปทบทวนทันทีที่เราเรียนในแต่ละ วันเพื่อมิให้เกิน 24 ชั่วโมง จากนั้นเราทิ้งช่วงไปทบทวนรวบยอดในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ เพื่อมิให้เกิน 7 วัน ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์จะทบทวนสิ่งที่เรียนมาทั้งสัปดาห์ เนื่องจากแต่ละวันความรู้จะพอกพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ เราควรทำโน้ตย่อและทบทวนจากโน้ตย่อสาระสำคัญ จะช่วยให้เราเสียเวลาทบทวนน้อยลง บทความโดย : ผ.ศ.ดร.สมวงษ์ แปลงประสพโชค ที่มา : ศูนย์พัฒนาสื่อการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ พระนคร Read more at http://www.unigang.com/Article/12118#YEIE7lGEETVUS22c.99